คนเป็นไทรอยด์กินกะหล่ำปลีได้ไหม

กะหล่ำปลีกับต่อมไทรอยด์: กินได้ไหม? ควรกินเท่าไหร่?

โรคไทรอยด์เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย การดูแลรักษาสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในคำถามที่ผู้ป่วยโรคไทรอยด์หรือผู้ที่มีความเสี่ยงมักสงสัยคือ “กินกะหล่ำปลีได้ไหม?”

คำตอบคือ กินได้ แต่ต้องระมัดระวัง กะหล่ำปลี เช่นเดียวกับผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิด (เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำม่วง) มีสารประกอบที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goitrogens) สารชนิดนี้สามารถไปรบกวนการดูดซึมไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ การขาดไอโอดีนอาจนำไปสู่ภาวะคอพอก หรือภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติได้

อย่างไรก็ตาม การจะกล่าวว่ากะหล่ำปลีเป็น “อาหารต้องห้าม” สำหรับผู้ป่วยโรคไทรอยด์นั้น ยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะปริมาณกอยโตรเจนในกะหล่ำปลีนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงพันธุ์ วิธีการปลูก และวิธีการเก็บรักษา นอกจากนี้ ร่างกายของแต่ละคนก็มีความสามารถในการเผาผลาญและดูดซึมสารต่างๆ แตกต่างกันไป

การบริโภคกะหล่ำปลีอย่างปลอดภัยสำหรับผู้มีปัญหาต่อมไทรอยด์:

• ปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรบริโภคกะหล่ำปลีในปริมาณมากเกินไป การรับประทานในปริมาณเล็กน้อยเป็นครั้งคราว ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหา แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเป็นประจำในปริมาณมาก
• ปรุงสุก: การปรุงสุกด้วยความร้อน เช่น การต้ม นึ่ง หรือผัด จะช่วยลดปริมาณกอยโตรเจนในกะหล่ำปลีได้อย่างมีนัยสำคัญ การทานกะหล่ำปลีดิบๆ ในปริมาณมากจึงควรหลีกเลี่ยง
• รับประทานอาหารหลากหลาย: การรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนเพียงพอ เช่น ปลาทะเล สาหร่ายทะเล และเกลือเสริมไอโอดีน จะช่วยชดเชยผลกระทบจากกอยโตรเจนได้
• ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและสภาวะของโรคไทรอยด์ แพทย์จะสามารถประเมินสภาวะสุขภาพ ประวัติการรักษา และให้คำแนะนำที่ถูกต้องได้ ไม่ควรพึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว

สรุปแล้ว ผู้ป่วยโรคไทรอยด์สามารถรับประทานกะหล่ำปลีได้ แต่ควรคำนึงถึงปริมาณ วิธีการปรุง และความหลากหลายของอาหาร การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ป่วยโรคไทรอยด์