ทำไมคนเป็นไทรอย ห้ามกินกะหล่ำ

1 การดู

การบริโภคผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบร็อคโคลี อาจรบกวนการดูดซึมไอโอดีน ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ หากรับประทานผักเหล่านี้มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กะหล่ำกับไทรอยด์: ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่คุณควรรู้

โรคไทรอยด์เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง การดูแลรักษาสุขภาพต่อมไทรอยด์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และหนึ่งในคำแนะนำที่มักได้ยินเกี่ยวกับการบริโภคอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์ คือการจำกัดการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำ แต่ความจริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกะหล่ำกับไทรอยด์นั้นซับซ้อนกว่าที่คิด และไม่ใช่แค่ “ห้ามกินเด็ดขาด” อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี คะน้า และกะหล่ำดาว อุดมไปด้วยสารโกลิโทรเจน (Goitrogens) สารชนิดนี้มีโครงสร้างทางเคมีที่คล้ายคลึงกับไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ เมื่อร่างกายได้รับโกลิโทรเจนในปริมาณมาก อาจเกิดการรบกวนการดูดซึมไอโอดีน ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนได้ลดลง และอาจนำไปสู่ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) ในบางบุคคล

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า การรับประทานผักตระกูลกะหล่ำในปริมาณที่ พอเหมาะ นั้น ไม่น่าจะ ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของผู้ที่มีไทรอยด์ปกติ หรือแม้แต่ผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์บางชนิด ผลกระทบของโกลิโทรเจนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณการบริโภค ระดับไอโอดีนในร่างกาย และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยลดปริมาณโกลิโทรเจนในผักตระกูลกะหล่ำได้ ดังนั้นการต้ม นึ่ง หรือผัด จะช่วยลดความเสี่ยงของการรบกวนการดูดซึมไอโอดีนได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนเพียงพอ เช่น เกลือเสริมไอโอดีน ปลาทะเล และอาหารทะเลอื่นๆ ก็จะช่วยลดผลกระทบของโกลิโทรเจนได้เช่นกัน

สรุปแล้ว การที่ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์จะต้อง “ห้ามกินกะหล่ำ” นั้นเป็นคำแนะนำที่อาจกว้างเกินไป และไม่ถูกต้องเสมอไป การควบคุมปริมาณ วิธีการปรุงอาหาร และการรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนเพียงพอ มีความสำคัญมากกว่าการงดเว้นผักตระกูลกะหล่ำโดยสิ้นเชิง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง การเลือกทานอาหารอย่างสมดุลและหลากหลาย ควบคู่กับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ คือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพต่อมไทรอยด์ให้แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการสำหรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล