คะแนน TGAT ที่ควรได้คือเท่าไหร่

3 การดู

วางแผนเส้นทางสู่คณะในฝัน! เกณฑ์คะแนนขั้นต่ำ TGAT/TPAT ที่ควรรู้ เพื่อเพิ่มโอกาสสอบติด: TGAT ต้องได้ 52/100 ขึ้นไป, TPAT2 อย่างน้อย 51/100, TPAT3 ไม่ต่ำกว่า 50/100 และ TPAT4 ต้องมี 71/100 ขึ้นไป เตรียมตัวให้พร้อม พิชิตเป้าหมาย!

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไขข้อสงสัย! TGAT เท่าไหร่ ถึงจะ “ใช่” พาไปคณะในฝัน?

การสอบ TGAT และ TPAT กลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่มหาวิทยาลัยในฝันของน้องๆ หลายคน แต่คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวคือ “คะแนนเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดี?” และ “ต้องได้ TGAT เท่าไหร่ ถึงจะมั่นใจว่ามีโอกาสติดคณะที่ต้องการ?”

บทความนี้ไม่ได้มาบอกตัวเลขตายตัวว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ถึงจะติด เพราะความจริงคือ คะแนน TGAT ที่ “ควรได้” ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น:

  • คณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการ: แต่ละคณะและแต่ละมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์การคัดเลือกที่แตกต่างกัน บางคณะเน้น TGAT บางส่วนมากกว่าส่วนอื่น หรือบางมหาวิทยาลัยอาจให้น้ำหนัก TPAT มากกว่า TGAT ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ศึกษาเกณฑ์การคัดเลือกของคณะและมหาวิทยาลัยที่สนใจอย่างละเอียด จากระเบียบการรับสมัคร

  • คะแนนของปีที่ผ่านมา: การดูสถิติคะแนนต่ำสุดของผู้ที่สอบติดในปีก่อนๆ เป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินว่าคะแนนที่เราทำได้นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจหรือไม่ แต่พึงระลึกเสมอว่า คะแนนต่ำสุดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของข้อสอบและความสามารถของผู้เข้าสอบในแต่ละปี

  • สัดส่วนคะแนนที่ใช้: บางคณะอาจใช้คะแนน TGAT เพียงส่วนเดียว ในขณะที่บางคณะอาจใช้ TGAT ร่วมกับ TPAT หรือคะแนนวิชาอื่นๆ ดังนั้น การทำความเข้าใจสัดส่วนคะแนนที่ใช้ในการคัดเลือก จะช่วยให้เราวางแผนการเตรียมตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แล้วตัวเลข 52/100, 51/100, 50/100 และ 71/100 ที่กล่าวมาคืออะไร?

ตัวเลขเหล่านี้อาจเป็น “เกณฑ์ขั้นต่ำ” ที่มหาวิทยาลัยหรือคณะบางแห่งกำหนดไว้ ซึ่งหมายความว่า หากได้คะแนนต่ำกว่านี้ อาจหมดสิทธิ์ในการสมัคร แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าได้คะแนนสูงกว่านี้แล้วจะติดแน่นอน

ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือ:

  1. สำรวจตัวเอง: เริ่มจากการตั้งเป้าหมายว่าต้องการเข้าคณะอะไร มหาวิทยาลัยไหน
  2. ศึกษาข้อมูล: ศึกษาเกณฑ์การคัดเลือกของคณะและมหาวิทยาลัยนั้นๆ อย่างละเอียด รวมถึงสถิติคะแนนต่ำสุดของปีที่ผ่านมา
  3. ประเมินความสามารถ: ทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองในแต่ละส่วนของ TGAT และ TPAT
  4. วางแผนการเตรียมตัว: วางแผนการอ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบ และเข้าร่วมคอร์สติว (ถ้าจำเป็น) โดยเน้นในส่วนที่เรายังไม่ถนัด
  5. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย: ตั้งเป้าหมายคะแนนที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสอบติด

สรุป:

ไม่มีคะแนน TGAT ที่ “ควรได้” ตายตัว สิ่งที่สำคัญคือ การทำความเข้าใจเกณฑ์การคัดเลือกของคณะและมหาวิทยาลัยที่สนใจ และ วางแผนการเตรียมตัวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพิชิตคณะในฝันได้อย่างแน่นอน

ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จในการสอบ TGAT/TPAT และเข้าสู่คณะที่ต้องการได้นะครับ!