จบอะไรถึงได้เป็นด็อกเตอร์

2 การดู

การเป็น ด็อกเตอร์ ในวงการแพทย์มีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในไทย แพทย์จบปริญญาตรีแพทยศาสตร์บัณฑิต (พบ.) แต่ในต่างประเทศอาจได้รับปริญญา MD (Doctor of Medicine) ซึ่งเทียบเท่าปริญญาตรีขั้นสูง และเรียกได้ว่าเป็น ด็อกเตอร์ เช่นกัน หากแพทย์ต้องการเป็น ด็อกเตอร์ ในระดับปริญญาเอก (Doctor of Philosophy - PhD) จะต้องศึกษาต่อเฉพาะทางเพิ่มเติม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เส้นทางสู่ด็อกเตอร์: กว่าจะถึงจุดสูงสุดในวงการแพทย์

คำว่า “ด็อกเตอร์” ในวงการแพทย์นั้นมีความหมายที่ซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบริบท และแต่ละประเทศ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเส้นทางการศึกษาของแพทย์ที่ต้องการก้าวไปสู่ระดับสูงสุดในวิชาชีพนี้จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

ในประเทศไทย เราคุ้นเคยกับภาพของแพทย์ที่จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ในระดับปริญญาตรี ซึ่งจะได้รับปริญญา “แพทยศาสตรบัณฑิต” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “พบ.” แพทย์ที่จบการศึกษาในระดับนี้สามารถเริ่มต้นประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ได้ทันที และเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าพวกเขาคือ “ด็อกเตอร์”

อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แพทย์ที่จบการศึกษาในระดับเริ่มต้น จะได้รับปริญญาที่เรียกว่า “Doctor of Medicine” หรือ “MD” ซึ่งมีความหมายโดยนัยเทียบเท่ากับปริญญาตรีขั้นสูง ไม่ใช่ปริญญาเอกอย่างที่หลายคนเข้าใจ แม้ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่า “ด็อกเตอร์” เช่นกัน แต่ปริญญา MD นั้นเป็นใบเบิกทางสู่การเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จุดสูงสุดของการศึกษาในเชิงวิชาการ

แล้วอะไรคือความแตกต่าง? แล้วจะไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างไร?

ความแตกต่างอยู่ที่เป้าหมายและความเข้มข้นของการศึกษา หากเป้าหมายคือการเป็น “แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” ที่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้ การศึกษาในระดับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต (พบ.) ในประเทศไทย หรือ Doctor of Medicine (MD) ในต่างประเทศ ก็เพียงพอแล้ว

แต่หากแพทย์มีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างลึกซึ้ง สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และเป็นผู้นำในสาขาของตน การศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก หรือ Doctor of Philosophy (PhD) คือเส้นทางที่เหมาะสม

เส้นทางสู่ Doctor of Philosophy (PhD) ในวงการแพทย์

การศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก (PhD) ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์นั้น มีหลากหลายสาขาให้เลือกตามความสนใจและความเชี่ยวชาญของแต่ละบุคคล เช่น

  • วิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ (Biomedical Science): เน้นการศึกษาในระดับโมเลกุลและเซลล์เพื่อทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรค และพัฒนายาหรือวิธีการรักษาใหม่ๆ
  • ระบาดวิทยา (Epidemiology): ศึกษาเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรคในประชากร และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนป้องกันและควบคุมโรค
  • สาธารณสุขศาสตร์ (Public Health): เน้นการพัฒนาและประเมินนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระดับประชากร
  • เภสัชศาสตร์ (Pharmacy): ศึกษาเกี่ยวกับยา กลไกการออกฤทธิ์ และการพัฒนาสูตรยาใหม่ๆ

การเรียนในระดับปริญญาเอก (PhD) นั้นแตกต่างจากการเรียนในระดับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต (พบ.) หรือ MD อย่างสิ้นเชิง เพราะเน้นการวิจัยเป็นหลัก นักศึกษาจะต้องทำการทดลอง เก็บข้อมูล วิเคราะห์ผล และนำเสนอผลงานวิจัยของตนเองในรูปแบบของวิทยานิพนธ์ (Thesis) และบทความวิจัย (Research Article)

ทำไมต้องเป็น Doctor of Philosophy (PhD) ในวงการแพทย์?

การเป็น Doctor of Philosophy (PhD) ในวงการแพทย์เปิดโอกาสให้แพทย์ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการเป็นผู้รักษา สู่การเป็นนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการรักษาและป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แพทย์ที่มีปริญญาเอก (PhD) ยังสามารถเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เป็นผู้บริหารงานวิจัย หรือเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายสุขภาพได้อีกด้วย

สรุป

เส้นทางสู่การเป็น “ด็อกเตอร์” ในวงการแพทย์นั้นมีหลายเส้นทาง การเลือกเส้นทางที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสนใจของแต่ละบุคคล หากต้องการเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาในระดับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต (พบ.) หรือ Doctor of Medicine (MD) ก็เพียงพอแล้ว แต่หากต้องการเป็นนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ การศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก (PhD) คือเส้นทางที่ขาดไม่ได้

การทำความเข้าใจความหมายและเส้นทางที่แตกต่างกันของการเป็น “ด็อกเตอร์” ในวงการแพทย์ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของวิชาชีพนี้ได้อย่างชัดเจน และตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาและการวิจัยในการพัฒนาการแพทย์ให้ก้าวหน้าต่อไป