ทฤษฎีการจูงใจมีกี่ทฤษฎี

25 การดู
มีทฤษฎีการจูงใจมากมาย ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ บางครั้งแบ่งตามเนื้อหา (Content theories) ที่เน้นความต้องการและแรงผลักดันภายใน หรือตามกระบวนการ (Process theories) ที่เน้นกลไกการคิดและการตัดสินใจในการเลือกพฤติกรรม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ทฤษฎีการจูงใจ: ความเข้าใจพื้นฐานสำหรับการขับเคลื่อนพฤติกรรมมนุษย์

การจูงใจเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมมนุษย์ ช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดบุคคลจึงกระทำในสิ่งที่ตนกระทำ และสิ่งใดที่กระตุ้นให้เกิดการดำเนินการ นักทฤษฎีได้เสนอทฤษฎีการจูงใจที่หลากหลาย โดยแต่ละทฤษฎีมีจุดเน้นและแนวทางที่แตกต่างกัน

การจัดหมวดหมู่ของทฤษฎีการจูงใจ

ทฤษฎีการจูงใจสามารถจำแนกได้หลายวิธี วิธีทั่วไปคือการจัดกลุ่มตามเนื้อหา (Content theories) และกระบวนการ (Process theories)

ทฤษฎีการจูงใจตามเนื้อหา

ทฤษฎีเหล่านี้เน้นความต้องการและแรงผลักดันภายในที่กระตุ้นพฤติกรรมมนุษย์ ทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่:

  • ทฤษฎีลำดับความต้องการของมาสโลว์ (Maslows Hierarchy of Needs): ทฤษฎีนี้อ้างว่าความต้องการของมนุษย์มีลำดับขั้น โดยความต้องการพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย และความปลอดภัย จะต้องได้รับการตอบสนองก่อนที่บุคคลจะแสวงหาความต้องการที่สูงขึ้น เช่น ความรัก ความเคารพตนเอง และการพัฒนาตนเอง
  • ทฤษฎีความต้องการความสำเร็จ ความอำนาจ และการมีส่วนร่วม (McClellands Theory of Needs): ทฤษฎีนี้ระบุว่าบุคคลมีสามความต้องการพื้นฐานหลัก ได้แก่ ความต้องการความสำเร็จ ความต้องการอำนาจ และความต้องการมีส่วนร่วม ความต้องการเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคล
  • ทฤษฎีปัจจัยสองของเฮอร์ซเบิร์ก (Herzbergs Two-Factor Theory): ทฤษฎีนี้แบ่งปัจจัยการทำงานออกเป็นปัจจัยสุขอนามัยและปัจจัยแรงจูงใจ ปัจจัยสุขอนามัยเป็นปัจจัยที่จำเป็นเพื่อป้องกันความไม่พอใจในงาน ในขณะที่ปัจจัยแรงจูงใจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นความพึงพอใจและแรงจูงใจ

ทฤษฎีการจูงใจตามกระบวนการ

ทฤษฎีเหล่านี้เน้นกลไกการคิดและการตัดสินใจที่บุคคลใช้ในการเลือกพฤติกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่:

  • ทฤษฎีคาดการณ์ของวรัม (Vrooms Expectancy Theory): ทฤษฎีนี้ระบุว่าแรงจูงใจของบุคคลในการกระทำพฤติกรรมบางอย่างขึ้นอยู่กับการคาดการณ์สามประการ ได้แก่ ความคาดหวังว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ความคาดหมายว่าผลลัพธ์ดังกล่าวมีคุณค่าต่อบุคคล และความมั่นใจว่าบุคคลสามารถแสดงพฤติกรรมดังกล่าวได้
  • ทฤษฎีความเป็นธรรม (Equity Theory): ทฤษฎีนี้เสนอว่าบุคคลมีแรงจูงใจรักษาความเป็นธรรมในสภาพแวดล้อมการทำงาน บุคคลจะเปรียบเทียบ อัตราส่วนของผลลัพธ์ต่อการนำเข้าของตนเองกับอัตราส่วนของบุคคลอื่น หากบุคคลรับรู้ว่าตนได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าบุคคลอื่นสำหรับการนำเข้าที่เท่ากัน พวกเขาอาจลดการนำเข้าลงเพื่อรักษาความยุติธรรม
  • ทฤษฎีเป้าหมาย (Goal Theory): ทฤษฎีนี้ระบุว่าเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ยาก แต่สามารถบรรลุได้ จะเพิ่มแรงจูงใจของบุคคล บุคคลที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนจะมุ่งความพยายามไปที่การบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น

การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการจูงใจ

การทำความเข้าใจทฤษฎีการจูงใจมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้จัดการและผู้นำในการออกแบบและนำกลยุทธ์การจูงใจที่มีประสิทธิภาพไปใช้ในที่ทำงาน ทฤษฎีเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่กระตุ้นแรงจูงใจของบุคคล และสามารถใช้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมแรงจูงใจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดการหมุนเวียนของพนักงาน

การเลือกทฤษฎีการจูงใจที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะและประเภทของงานที่กำลังดำเนินการ โดยการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจของบุคคล ผู้จัดการและผู้นำสามารถสร้างกลยุทธ์การจูงใจที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการและเป้าหมายของพนักงาน จึงช่วยเพิ่มแรงจูงใจโดยรวม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ