ทฤษฎี Health Belief Model คืออะไร

2 การดู

แบบจำลองความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ (Health Belief Model) ชี้ว่าความเชื่อและการรับรู้ของบุคคลเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมด้านสุขภาพ บุคคลที่มีโอกาสที่จะปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพมากขึ้นหากเชื่อว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ และเชื่อว่าพฤติกรรมนั้นมีประโยชน์และสามารถทำได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ถอดรหัสพฤติกรรมสุขภาพ: เจาะลึก Health Belief Model ทฤษฎีที่มากกว่าความเชื่อ

ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและคำแนะนำด้านสุขภาพ การตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามนั้นซับซ้อนกว่าที่เราคิด หลายครั้งเราอาจทราบดีว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี หรือการหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดจะช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอก แต่กลับละเลยหรือไม่ทำตามคำแนะนำเหล่านั้น สาเหตุเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้คืออะไร? ทฤษฎีหนึ่งที่พยายามไขความลับนี้คือ แบบจำลองความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ (Health Belief Model – HBM)

HBM ไม่ได้มองว่าพฤติกรรมสุขภาพเป็นเพียงเรื่องของความรู้ แต่ให้ความสำคัญกับ ความเชื่อ และ การรับรู้ ของแต่ละบุคคล โดยเชื่อว่าพฤติกรรมสุขภาพนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวพันกัน

หัวใจสำคัญของ HBM: 4 เสาหลักแห่งความเชื่อ

HBM วางอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ 4 ประการหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของบุคคลในการลงมือปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ ได้แก่:

  1. การรับรู้ถึงความเสี่ยง (Perceived Susceptibility): บุคคลนั้นเชื่อหรือไม่ว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหรือประสบปัญหาสุขภาพนั้นๆ? ยิ่งรับรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงสูง โอกาสที่จะลงมือปฏิบัติเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงก็จะยิ่งมากขึ้น เช่น หากบุคคลเชื่อว่าตนเองมีโอกาสเป็นเบาหวานสูง (อาจเนื่องจากมีประวัติครอบครัว หรือมีน้ำหนักเกิน) ก็มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายมากขึ้น

  2. การรับรู้ถึงความรุนแรง (Perceived Severity): บุคคลนั้นมองว่าผลกระทบของโรคหรือปัญหาสุขภาพนั้นร้ายแรงเพียงใด? หากมองว่าโรคหรือปัญหาสุขภาพนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างมาก เช่น ทำให้ทุพพลภาพ เสียชีวิต หรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โอกาสที่จะลงมือปฏิบัติเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคก็จะสูงขึ้น

  3. การรับรู้ถึงประโยชน์ (Perceived Benefits): บุคคลนั้นเชื่อว่าการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพ หรือการลงมือทำพฤติกรรมสุขภาพนั้นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงหรือบรรเทาผลกระทบของโรคหรือปัญหาสุขภาพได้อย่างไร? หากเชื่อว่าการกระทำนั้นมีประโยชน์และคุ้มค่าที่จะลงทุนลงแรง โอกาสที่จะลงมือปฏิบัติก็จะมากขึ้น

  4. การรับรู้ถึงอุปสรรค (Perceived Barriers): บุคคลนั้นมองว่ามีอุปสรรคอะไรบ้างที่ขัดขวางการลงมือปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพนั้นๆ? อุปสรรคอาจเป็นได้ทั้งเรื่องของเวลา ค่าใช้จ่าย ความยากลำบากในการเข้าถึงบริการสุขภาพ หรือความเชื่อทางวัฒนธรรม หากมองว่าอุปสรรคนั้นมีมากเกินไป ก็อาจทำให้ละทิ้งความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพ

ปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่มีผลต่อ HBM

นอกเหนือจาก 4 เสาหลักแล้ว HBM ยังคำนึงถึงปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ ได้แก่:

  • ตัวชี้นำสู่การปฏิบัติ (Cues to Action): สิ่งกระตุ้นที่ทำให้บุคคลตระหนักถึงความจำเป็นในการลงมือปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การได้รับคำแนะนำจากแพทย์ การเห็นสื่อรณรงค์ด้านสุขภาพ หรือการมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคที่ตนเองกังวล
  • ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-Efficacy): ความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำตามคำแนะนำด้านสุขภาพ หรือสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้สำเร็จ ยิ่งมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง โอกาสที่จะลงมือปฏิบัติก็จะมากขึ้น

HBM ในโลกแห่งความเป็นจริง: ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

HBM ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น:

  • การรณรงค์ให้ฉีดวัคซีน: เน้นย้ำถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อ (Perceived Susceptibility) ความรุนแรงของโรค (Perceived Severity) ประโยชน์ของการฉีดวัคซีน (Perceived Benefits) และลดความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง (Perceived Barriers)
  • การส่งเสริมการตรวจมะเร็งเต้านม: ให้ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม (Perceived Susceptibility) ผลกระทบที่ร้ายแรงของมะเร็งเต้านม (Perceived Severity) ประโยชน์ของการตรวจคัดกรอง (Perceived Benefits) และให้ความสะดวกในการเข้าถึงบริการตรวจ (ลด Perceived Barriers)

ข้อจำกัดและข้อควรพิจารณาของ HBM

แม้ว่า HBM จะเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรพิจารณา:

  • HBM มุ่งเน้นไปที่ความเชื่อและการรับรู้ของบุคคลเป็นหลัก โดยอาจละเลยปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ
  • HBM เป็นเพียงกรอบแนวคิด ไม่ได้ระบุวิธีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจง
  • การวัดความเชื่อและการรับรู้ของบุคคลอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย และผลลัพธ์อาจมีความคลาดเคลื่อน

สรุป: HBM มากกว่าแค่ความเชื่อ

Health Belief Model เป็นมากกว่าทฤษฎีที่อธิบายว่าความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพอย่างไร แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงปัจจัยที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของเราในเรื่องสุขภาพ การทำความเข้าใจ HBM จะช่วยให้เราสามารถออกแบบโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้แต่ละบุคคลตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพของตนเองอย่างจริงจัง