โปรไฟล์ในเรซูเม่ ควรเขียนอะไร

5 การดู

ข้อมูลในเรซูเม่ ควรใส่ข้อมูลอะไรบ้าง?

ข้อมูลส่วนตัว: ชื่อ-นามสกุล, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, ที่อยู่, ลิงก์โซเชียลมีเดีย (ถ้ามี)

ข้อมูลการศึกษา: ชื่อสถาบัน, หลักสูตร, ระดับการศึกษา, คะแนนเฉลี่ย (ถ้าต้องการ)

ประสบการณ์การทำงาน: ชื่อบริษัท, ตำแหน่ง, ระยะเวลาทำงาน, หน้าที่ความรับผิดชอบ

ทักษะและความสามารถ: ทักษะด้านภาษา, ทักษะด้านคอมพิวเตอร์, ทักษะด้านการสื่อสาร, ทักษะเฉพาะด้านอื่นๆ

ผลงานความสำเร็จ: ผลงานเด่นที่แสดงถึงความสามารถและประสบการณ์ (เช่น โปรเจคที่ประสบความสำเร็จ, รางวัลที่ได้รับ)

จุดมุ่งหมายในอาชีพ: คำอธิบายเป้าหมายและความต้องการในอาชีพ (ไม่จำเป็น แต่ควรเขียนถ้าต้องการ)

ส่วนสรุป: บทสรุปย่อๆ เกี่ยวกับความสามารถและประสบการณ์ (ไม่จำเป็น แต่ควรเขียนถ้าต้องการ)

บุคคลอ้างอิง: ชื่อ, ตำแหน่ง, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล (ไม่จำเป็น แต่ควรเขียนถ้าต้องการ)

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ยกระดับเรซูเม่ของคุณ: เขียนโปรไฟล์อย่างไรให้โดดเด่นและน่าจดจำ

เรซูเม่เป็นประตูบานแรกที่นำพาคุณสู่โอกาสการงานที่ดี มันคือเอกสารสำคัญที่สะท้อนตัวตน ความสามารถ และประสบการณ์ของคุณ ดังนั้น การเขียนเรซูเม่ที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเขียนโปรไฟล์ในเรซูเม่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มากกว่าการเพียงแค่ระบุข้อมูลพื้นฐานทั่วไป

การเขียนโปรไฟล์ในเรซูเม่ ไม่ใช่แค่การรวบรวมข้อมูลส่วนตัว แต่เป็นการนำเสนอ “ตัวตนทางวิชาชีพ” ของคุณ ให้ผู้ว่าจ้างเห็นภาพความสามารถและความเหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน โปรไฟล์ที่ดีจะดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้ว่าจ้างอ่านเรซูเม่ของคุณอย่างละเอียดต่อไป

องค์ประกอบสำคัญในการเขียนโปรไฟล์ที่ทรงพลัง:

แทนที่จะเขียนข้อมูลพื้นฐานอย่าง “ชื่อ-สกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์” อย่างเดียว ลองพิจารณาปรับเปลี่ยนให้เป็นการนำเสนอคุณค่าที่คุณจะมอบให้กับบริษัท เช่น:

  • แทนที่ข้อมูลติดต่อพื้นฐานด้วยลิงก์ LinkedIn หรือ Portfolio: ในยุคดิจิทัล การมี LinkedIn profile ที่เป็นมืออาชีพหรือ portfolio ที่แสดงผลงานของคุณ จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและแสดงถึงความทันสมัยได้มากกว่าการระบุที่อยู่บ้าน
  • เน้นความสามารถเฉพาะตัวและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร: อย่าเขียนโปรไฟล์แบบทั่วไป ให้เจาะจงไปที่ความสามารถและทักษะที่ตรงกับความต้องการของตำแหน่งงาน ยกตัวอย่างความสำเร็จที่สามารถวัดผลได้ เช่น “เพิ่มยอดขายได้ 20% ภายใน 6 เดือน” หรือ “ลดต้นทุนการผลิตลง 15% ด้วยการปรับปรุงกระบวนการ X”
  • ใช้คำกริยาที่กระฉับกระเฉง: เลือกใช้คำกริยาที่แสดงถึงการกระทำและผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น “พัฒนา”, “จัดการ”, “นำเสนอ”, “วิเคราะห์”, “แก้ไข” แทนที่จะใช้คำกริยาที่นิ่งๆ เช่น “รับผิดชอบ”, “ดูแล”
  • เขียนด้วยภาษาที่กระชับและอ่านง่าย: โปรไฟล์ที่ดีควรสั้น กระชับ เข้าใจง่าย ใช้ประโยคสั้นๆ และหลีกเลี่ยงคำศัพท์ทางเทคนิคที่ผู้ว่าจ้างทั่วไปอาจไม่เข้าใจ
  • ปรับแต่งโปรไฟล์ให้เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่งงาน: โปรไฟล์ที่ดีควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่งที่สมัคร เน้นความสามารถและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งนั้นๆ อย่าใช้โปรไฟล์เดียวกันสมัครทุกงาน

ตัวอย่างโปรไฟล์ที่ดึงดูดความสนใจ:

“นักการตลาดดิจิทัลที่มีประสบการณ์กว่า 5 ปี เชี่ยวชาญด้านการตลาดบนโซเชียลมีเดียและ SEO ประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดผู้ติดตามบน Facebook ให้กับแบรนด์ A มากกว่า 50% ภายใน 1 ปี และเพิ่ม Conversion rate จากการตลาดบน Google Ads ได้ถึง 30% มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์กลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพสูง”

โปรไฟล์ที่ดีคือการสร้าง “first impression” ที่ยอดเยี่ยม มันคือการสร้างความประทับใจแรกพบที่น่าจดจำและดึงดูดผู้ว่าจ้างให้ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณ การลงทุนเวลาในการเขียนโปรไฟล์อย่างมีประสิทธิภาพจึงคุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่ความสำเร็จในเส้นทางอาชีพของคุณ