ระยะเวลาคืนทุนคืออะไร

3 การดู

ระยะเวลาคืนทุน คือระยะเวลาที่เม็ดเงินที่ได้จากการลงทุนสามารถคืนต้นทุนการลงทุนทั้งหมดได้ ซึ่งคำนวณโดยนำมูลค่าการลงทุนหารด้วยผลตอบแทนสุทธิต่อปี

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เข้าใจระยะเวลาคืนทุน: เครื่องมือวัดความคุ้มค่าในการลงทุน

การลงทุนไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ย่อมต้องการความมั่นใจว่าเงินที่ลงทุนไปจะกลับคืนมา และสร้างผลกำไรในอนาคต หนึ่งในเครื่องมือที่นักลงทุนใช้ประเมินความคุ้มค่าและความเสี่ยงของการลงทุน คือ “ระยะเวลาคืนทุน” (Payback Period) ซึ่งบ่งบอกถึงระยะเวลาที่เราจะได้รับเงินลงทุนเริ่มต้นกลับคืนมาทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าของเงินตามเวลา

แม้คำนิยามพื้นฐานของระยะเวลาคืนทุน คือ การนำมูลค่าการลงทุนตั้งต้น หารด้วยผลตอบแทนสุทธิต่อปี แต่ในความเป็นจริง การคำนวณและการนำไปประยุกต์ใช้อาจมีความซับซ้อนกว่านั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของกระแสเงินสดที่ได้รับกลับมา

รูปแบบการคำนวณระยะเวลาคืนทุน:

  • โครงการที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ: วิธีการคำนวณแบบง่าย คือ นำเงินลงทุนตั้งต้น หารด้วย กระแสเงินสดสุทธิต่อปี เช่น ลงทุน 1,000,000 บาท และได้รับกระแสเงินสดสุทธิปีละ 200,000 บาท ระยะเวลาคืนทุนคือ 1,000,000 / 200,000 = 5 ปี

  • โครงการที่มีกระแสเงินสดไม่สม่ำเสมอ: ต้องคำนวณแบบสะสมกระแสเงินสดในแต่ละปี จนกว่ากระแสเงินสดสะสมจะเท่ากับเงินลงทุนตั้งต้น เช่น ลงทุน 1,000,000 บาท ปีที่ 1 ได้รับ 300,000 บาท ปีที่ 2 ได้รับ 400,000 บาท ปีที่ 3 ได้รับ 500,000 บาท กระแสเงินสดสะสมในปีที่ 2 คือ 700,000 บาท ยังไม่ครอบคลุมเงินลงทุน แต่ในปีที่ 3 กระแสเงินสดสะสมเป็น 1,200,000 บาท ซึ่งเกินเงินลงทุนแล้ว ดังนั้นระยะเวลาคืนทุนจะอยู่ระหว่างปีที่ 2 และ 3 โดยสามารถคำนวณได้ละเอียดขึ้นโดยใช้การประมาณค่าแบบสัดส่วน

ข้อดีของการใช้ระยะเวลาคืนทุน:

  • เข้าใจง่าย: คำนวณและตีความได้ง่าย เหมาะสำหรับการประเมินเบื้องต้น
  • ประเมินความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ช่วยให้เห็นภาพว่าเงินลงทุนจะถูกตรึงไว้นานเท่าใด

ข้อจำกัดของการใช้ระยะเวลาคืนทุน:

  • ไม่คำนึงถึงมูลค่าของเงินตามเวลา: เงิน 1 บาทในวันนี้มีค่ามากกว่า 1 บาทในอนาคต
  • ไม่พิจารณากระแสเงินสดหลังจากคืนทุน: โครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนเท่ากัน แต่อาจมีผลกำไรที่แตกต่างกันมากในระยะยาว
  • ไม่เหมาะกับโครงการระยะยาว: อาจทำให้มองข้ามโครงการที่ดีแต่มีระยะเวลาคืนทุนนาน

สรุป: ระยะเวลาคืนทุนเป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายในการประเมินความคุ้มค่าเบื้องต้นและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของการลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางการเงินอื่นๆ เช่น มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) และอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น.