PA ควรมีกี่บวก

PA+++, PA++++ แล้วอะไรคือความแตกต่างที่คุ้มค่ากับการลงทุน? ไขข้อข้องใจเรื่องค่า SPF และ PA บนครีมกันแดด

แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิวพรรณของเรา ไม่ใช่แค่ทำให้ผิวไหม้เกรียมเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุของริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และจุดด่างดำอีกด้วย ดังนั้น การเลือกใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และคำถามที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ คือ PA+++ กับ PA++++ ต่างกันอย่างไร เราควรเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะสม?

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า SPF (Sun Protection Factor) วัดค่าการปกป้องผิวจาก UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของการไหม้แดด ส่วน PA (Protection Grade of UVA) วัดค่าการปกป้องผิวจาก UVA ซึ่งเป็นรังสีที่ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศได้ดีกว่า UVB และเป็นสาเหตุหลักของริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และผิวคล้ำเสีย

PA บอกระดับการป้องกัน UVA โดยใช้เครื่องหมายบวก (+) ยิ่งมีเครื่องหมายบวกมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าการปกป้องก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีระดับดังนี้:

• PA+: ปกป้อง UVA ได้ระดับต่ำ
• PA++: ปกป้อง UVA ได้ระดับปานกลาง
• PA+++: ปกป้อง UVA ได้ระดับสูง
• PA++++: ปกป้อง UVA ได้ระดับสูงสุด

แล้ว PA++++ ดีกว่า PA+++ จริงหรือ?

คำตอบคือ ใช่ PA++++ แสดงถึงการปกป้อง UVA ในระดับสูงสุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดจัดเป็นเวลานาน เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง หรือผู้ที่ใช้ชีวิตกลางแจ้งบ่อยๆ การเลือกใช้ PA++++ จะช่วยลดโอกาสในการเกิดริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และผิวคล้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอยู่เสมอ

แต่… PA++++ ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย 100%

แม้ PA++++ จะให้การปกป้องที่ดีเยี่ยม แต่เราก็ยังต้องทาครีมกันแดดให้ทั่วถึงและเพียงพอ ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะหลังจากว่ายน้ำหรือเหงื่อออกมาก นอกจากนี้ การใช้ร่ม หมวก และแว่นกันแดด ก็ช่วยเสริมการปกป้องผิวจากแสงแดดได้อีกด้วย

สรุปแล้ว การเลือกใช้ PA+++ หรือ PA++++ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละบุคคล แต่ถ้าต้องการการปกป้องที่ดีที่สุด และยืดอายุความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ PA++++ คือตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่ากับการลงทุน อย่าลืมเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้งานอย่างเคร่งครัด เพื่อผิวสวยสุขภาพดีอย่างยั่งยืน