PRC เก็บได้นานแค่ไหน

อายุการใช้งานของ PRC (Packed Red Cells) และความสำคัญในการรักษาโรคโลหิตจาง

Packed Red Cells หรือ PRC เป็นส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่ใช้ในการรักษาภาวะโลหิตจางและการเสียเลือดอย่างรุนแรง การเข้าใจอายุการใช้งานของ PRC นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาพยาบาลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้ว PRC ที่เก็บรักษาด้วยสารละลาย CPD-A1 (Citrate Phosphate Dextrose Adenine-1) สามารถเก็บรักษาได้นาน 35 วัน นับจากวันที่เก็บเลือด หลังจากนั้นคุณภาพและความปลอดภัยของ PRC จะลดลงอย่างมาก ไม่ควรนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอีกต่อไป

การกำหนดระยะเวลา 35 วันนี้ เกิดจากการศึกษาและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุม ซึ่งคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของเม็ดเลือดแดง การลดลงของความสามารถในการขนส่งออกซิเจน และความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ หากใช้ PRC ที่หมดอายุ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยได้ เช่น การลดประสิทธิภาพในการรักษา การเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ หรือแม้กระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น

PRC ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 35 วัน เหมาะสำหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง (Anemia) ไม่ว่าจะเป็นจากการเสียเลือดเฉียบพลัน โรคโลหิตจางชนิดต่างๆ หรือสาเหตุอื่นๆ แพทย์จะพิจารณาปริมาณ PRC ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปแล้ว การให้ PRC 1 ยูนิตแก่ผู้ใหญ่ คาดว่าจะเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ประมาณ 1 กรัม/เดซิลิตร (g/dL) หรือเพิ่มค่า Hematocrit ประมาณ 3% อย่างไรก็ตาม การปรับระดับฮีโมโกลบินและ Hematocrit จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงน้ำหนักตัว ปริมาณเลือดในร่างกาย และสภาวะสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ดังนั้น การประเมินและการรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้ PRC สามารถใช้ร่วมกับสารน้ำ Crystalloid หรือ Colloid ได้ เพื่อรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้การรักษาด้วย PRC มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การเลือกใช้สารน้ำชนิดใดนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายเช่นกัน

สรุปได้ว่า การกำหนดอายุการใช้งานของ PRC ที่ 35 วันนั้น เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วย การปฏิบัติตามมาตรฐานนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคโลหิตจางได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลและการจัดการ PRC อย่างถูกวิธี เป็นส่วนสำคัญในการรับประกันความปลอดภัยและคุณภาพของการรักษาด้วยเลือด ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ควรตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้เสมอ