ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ นับวัน ยัง ไง

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ: นับวัน…อย่างไรให้ยุติธรรม?

อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นและรถยนต์ของเราได้รับความเสียหาย ต้องนำเข้าซ่อมแซม นอกจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมแล้ว เรายังต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายอีกประเภทหนึ่งที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือค่าชดเชยที่ผู้เอาประกันภัยควรได้รับ เป็นการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการไม่สามารถใช้งานรถยนต์ได้ในระหว่างที่นำรถเข้ารับการซ่อมแซม ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมหลังเกิดอุบัติเหตุ หรือการซ่อมแซมจากสาเหตุอื่นๆ ที่อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย

การคำนวณค่าขาดประโยชน์: มากกว่าแค่จำนวนวัน

หลายคนเข้าใจว่าการคำนวณค่าขาดประโยชน์นั้นง่ายดาย เพียงแค่คำนวณจากจำนวนวันที่รถเข้าซ่อม แต่ความจริงแล้ว การคำนวณที่ถูกต้องและเป็นธรรมนั้นซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น:

• ระยะเวลาการซ่อม: นี่เป็นปัจจัยหลัก ยิ่งรถใช้เวลานานในการซ่อม ค่าขาดประโยชน์ก็จะยิ่งสูงขึ้น แต่การคำนวณไม่ใช่เพียงแค่จำนวนวันธรรมดาเท่านั้น ควรนับรวมวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วย เพราะความไม่สะดวกในการใช้รถเกิดขึ้นทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด

• ประเภทและขนาดของรถ: รถยนต์แต่ละประเภทและขนาดมีมูลค่าและประโยชน์การใช้งานที่แตกต่างกัน รถยนต์ราคาสูง หรือรถยนต์ที่ใช้เพื่อการค้า ย่อมมีค่าขาดประโยชน์ที่สูงกว่ารถยนต์ราคาประหยัด

• การใช้งานรถ: หากรถยนต์ใช้เพื่อการค้า เช่น รถแท็กซี่ รถส่งของ ค่าขาดประโยชน์จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากการไม่สามารถใช้งานรถได้ส่งผลกระทบต่อรายได้โดยตรง

• อัตราค่าขาดประโยชน์: อัตราค่าขาดประโยชน์จะแตกต่างกันไปตามบริษัทประกันภัย และอาจมีการกำหนดอัตราค่าขาดประโยชน์ตามประเภทของรถ และระยะเวลาการซ่อม

ความสำคัญของกรมธรรม์และการเจรจา

การทำประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุมค่าขาดประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญ ควรศึกษาเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างละเอียด และตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความคุ้มครองอย่างเพียงพอ หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าขาดประโยชน์ การเจรจากับบริษัทประกันภัยอย่างเป็นมืออาชีพและมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบเสร็จค่าซ่อม ใบแจ้งความ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ได้รับค่าชดเชยที่ยุติธรรม

การคำนวณค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ควรเป็นเพียงแค่การนับวันธรรมดาๆ การพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ รวมถึงการมีกรมธรรม์ประกันภัยที่ดี และการเจรจาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เอาประกันได้รับความเป็นธรรม และสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างราบรื่น