โรคอะไรที่บริษัทประกันไม่รับ

10 การดู

การทำประกันสุขภาพและประกันชีวิตอาจถูกปฏิเสธหรือมีเงื่อนไขเพิ่มเติม หากมีประวัติโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้าย โรคตับแข็งระยะท้าย หรือโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย การแจ้งข้อมูลสุขภาพอย่างครบถ้วนและตรงไปตรงมาจึงสำคัญยิ่ง เพื่อความคุ้มครองที่ต่อเนื่องและมั่นใจ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โรคที่บริษัทประกันไม่รับ ไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจน เพราะบริษัทประกันไม่ “รับ” โรคใดๆ โดยตรง แต่จะพิจารณา ความเสี่ยง จากโรคหรือสภาพสุขภาพนั้นๆ

การปฏิเสธหรือการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมในการทำประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตเกิดขึ้นเมื่อมีประวัติโรคเรื้อรังบางประเภทที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหรือการเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่บริษัทประกันกำหนดไว้ ไม่ใช่ว่าโรคเหล่านั้นจะถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่บริษัทอาจ:

  • เรียกเก็บค่าเบี้ยประกันสูงขึ้น: เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น การจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้น และความเป็นไปได้ที่การเคลมจะเกิดขึ้น
  • กำหนดเงื่อนไขพิเศษ: เช่น ข้อจำกัดการรักษาบางชนิดหรือการไม่ครอบคลุมค่ารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังนั้น
  • ปฏิเสธการทำประกัน: ในกรณีที่ความเสี่ยงสูงจนเกินกว่าบริษัทประกันจะรับได้ โดยเฉพาะกับโรคที่อาจถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็วหรือต้องการการรักษาที่สูงมาก

โรคหรือสภาพสุขภาพที่มักมีความเสี่ยงสูงต่อการปฏิเสธหรือการมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ได้แก่:

  • โรคหัวใจเรื้อรัง: เช่น โรคหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้าย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • โรคมะเร็ง: โดยเฉพาะมะเร็งระยะลุกลาม
  • โรคตับเรื้อรัง: เช่น โรคตับแข็ง
  • โรคไตเรื้อรัง: โดยเฉพาะระยะสุดท้าย
  • โรคปอดเรื้อรัง: เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  • โรคเบาหวาน: โดยเฉพาะที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • โรคทางจิตเวช: บางประเภทอาจถือว่ามีความเสี่ยงสูง
  • โรคติดต่อเรื้อรัง: เช่นเอดส์หรือโรคติดต่อที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม “โรคที่บริษัทประกันไม่รับ” ไม่ใช่รายการตายตัว และขึ้นอยู่กับนโยบายเฉพาะของแต่ละบริษัท และอาจมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขได้เสมอ การปรึกษาตัวแทนประกันหรือตรวจสอบเงื่อนไขการทำประกันอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ข้อสำคัญ: การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและตรงไปตรงมาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อการพิจารณาการทำประกัน หรือการเคลมประกันในภายหลัง

ข้อแนะนำ: ควรปรึกษาตัวแทนประกันภัยหรือที่ปรึกษาทางการเงินที่น่าเชื่อถือ เพื่อขอข้อมูลและคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ