Potassiumต่ำ มีผลต่อหัวใจอย่างไร

ภาวะโพแทสเซียมต่ำ: ภัยเงียบที่คุกคามหัวใจ

โพแทสเซียม เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหลายส่วน รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจ ภาวะโพแทสเซียมต่ำในทางการแพทย์เรียกว่า ไฮโปคาเลเมีย (Hypokalemia) แม้จะเป็นภาวะที่อาจไม่มีอาการแสดงชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพหัวใจ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

หัวใจทำงานโดยอาศัยสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งผ่านเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ โพแทสเซียมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการไหลเวียนของไอออนเหล่านี้ เมื่อระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำลง การส่งผ่านสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจจะผิดปกติ ส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจไม่เป็นปกติ ได้แก่

• ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias): อาจเป็นการเต้นเร็วเกินไป (tachycardia) เต้นช้าเกินไป (bradycardia) หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ เวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และอาจหมดสติได้

• ภาวะหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest): ในกรณีที่รุนแรง ภาวะโพแทสเซียมต่ำอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นได้อย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

กลุ่มเสี่ยงต่อภาวะโพแทสเซียมต่ำ ได้แก่ ผู้ป่วยที่ใช้ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) โดยเฉพาะกลุ่มยา Thiazide และ Loop diuretics ซึ่งมักใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่นๆ ที่อาจลดระดับโพแทสเซียม เช่น ยาเสตียรอยด์ ยาละลายลิ่มเลือด และผู้ป่วยที่มีภาวะท้องร่วง อาเจียน หรือการดูดซึมสารอาหารไม่ดี ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน

การวินิจฉัยภาวะโพแทสเซียมต่ำทำได้โดยการตรวจเลือด การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ อาจรวมถึงการรับประทานอาหารเสริมโพแทสเซียม ปรับเปลี่ยนการใช้ยา หรือในกรณีที่รุนแรงอาจต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล เช่น การให้โพแทสเซียมทางหลอดเลือดดำ

ข้อควรระวัง: การใช้ยาหรืออาหารเสริมโพแทสเซียมโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจเป็นอันตราย เนื่องจากการได้รับโพแทสเซียมมากเกินไปก็เป็นอันตรายได้เช่นกัน ดังนั้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระดับโพแทสเซียมในร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำที่ถูกต้อง การตรวจระดับโพแทสเซียมเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคลเสมอ