กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอเกิดจากสาเหตุอะไร

เมื่อกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ: สาเหตุที่คุณอาจคาดไม่ถึง

อาการเจ็บคอเป็นอาการที่พบได้บ่อย และหลายคนมักประสบกับอาการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลืนน้ำลายแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ แม้จะเป็นอาการเล็กน้อย แต่ก็บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ควรใส่ใจ เพราะสาเหตุที่ทำให้กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ “ติดเชื้อ” อย่างเดียวเสมอไป วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการนี้กัน

1. การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน: นี่คือสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด การติดเชื้อไวรัส (เช่น ไข้หวัดใหญ่ หวัดธรรมดา) หรือแบคทีเรีย (เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ คออักเสบ) จะทำให้เยื่อบุในลำคออักเสบ บวมแดง และเจ็บเวลาใช้งาน รวมถึงการกลืนน้ำลาย ซึ่งในกรณีนี้ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไอ จาม ไข้ น้ำมูกไหล หรือต่อมน้ำเหลืองบวม

2. การระคายเคืองจากสิ่งแปลกปลอม: สิ่งแปลกปลอมเล็กๆ เช่น เศษอาหาร ขน หรือฝุ่นละออง อาจติดค้างอยู่ในลำคอและทำให้เกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เจ็บเวลากลืน กรณีนี้มักจะหายไปเองได้หากสิ่งแปลกปลอมถูกกำจัดออกไป แต่ถ้ายังคงรู้สึกเจ็บนานหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์

3. การใช้เสียงมากเกินไป: การพูดคุย ร้องเพลง หรือตะโกนเสียงดังเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคออักเสบและบวม ส่งผลให้เจ็บเวลากลืนน้ำลาย อาการนี้มักจะดีขึ้นได้เองเมื่อพักเสียง แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้เสียงมากเกินไปและดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ

4. โรคกรดไหลย้อน (GERD): กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในหลอดอาหารและลำคอ ส่งผลให้กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ อาการนี้มักจะมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น แสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ หรืออาเจียน

5. โรคภูมิแพ้: การแพ้สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ละอองเกสร ฝุ่นละออง หรือขนสัตว์ อาจทำให้เยื่อบุในลำคออักเสบและบวม ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลืนน้ำลาย

6. โรคอื่นๆ: บางครั้งอาการกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคออาจเป็นอาการแสดงของโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า เช่น มะเร็งลำคอ หรือโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์

เมื่อใดควรพบแพทย์?

แม้ว่าอาการกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอมักจะหายไปเองได้ แต่หากมีอาการต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที:

• เจ็บคอรุนแรงและเป็นเวลานานเกินกว่า 1-2 สัปดาห์
• มีไข้สูง
• มีปัญหาในการหายใจ
• มีเลือดออกในลำคอ
• น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
• มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวดหู หรือปวดศีรษะ

การวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการรักษา อย่าปล่อยให้ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้ทิ้งไว้โดยไม่สนใจ เพราะอาการที่ดูไม่ร้ายแรง อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมเสมอ