กล้าม เนื้อ อักเสบ ใช้เวลา กี่ วัน หาย

0 การดู

อาการกล้ามเนื้ออักเสบโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์กว่าจะหายดี ควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงการใช้งานที่หนักเกินไป

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กล้ามเนื้ออักเสบ: เข้าใจอาการ, ระยะเวลา, และแนวทางการดูแลตัวเอง

อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายหนัก หรืออาการ “กล้ามเนื้ออักเสบ” เป็นสิ่งที่หลายคนเคยประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา หรือคนทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่อาการ “กล้ามเนื้ออักเสบ” ที่เรากำลังพูดถึงนี้ มีความหมายที่กว้างกว่าอาการปวดเมื่อยธรรมดาหลังออกกำลังกาย (DOMS – Delayed Onset Muscle Soreness) และอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการกล้ามเนื้ออักเสบในภาพรวม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ระยะเวลาในการหาย และแนวทางการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับอาการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กล้ามเนื้ออักเสบคืออะไร? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?

กล้ามเนื้ออักเสบ คือภาวะที่กล้ามเนื้อเกิดการระคายเคือง บวม แดง และเจ็บปวด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่:

  • การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป: การออกกำลังกายที่หนักเกินไป หรือการใช้งานกล้ามเนื้อในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง สามารถทำให้เกิดการฉีกขาดเล็กๆ ในเส้นใยกล้ามเนื้อ ซึ่งนำไปสู่อาการอักเสบ
  • การบาดเจ็บ: การได้รับบาดเจ็บโดยตรง เช่น การกระแทก การบิด หรือการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ
  • การติดเชื้อ: การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด สามารถทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้
  • โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus) หรือโรค Fibromyalgia สามารถทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมันในเลือด (Statins) สามารถทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบ:

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยทั่วไปอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: อาจเป็นอาการปวดตื้อๆ ปวดแปลบๆ หรือปวดเมื่อยล้า
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง: อาจรู้สึกว่ากล้ามเนื้อไม่มีแรง หรือเคลื่อนไหวได้ลำบาก
  • กล้ามเนื้อบวม: บริเวณที่กล้ามเนื้ออักเสบอาจบวมขึ้น
  • กล้ามเนื้อตึง: กล้ามเนื้ออาจตึงและแข็ง
  • เจ็บเมื่อสัมผัส: บริเวณที่กล้ามเนื้ออักเสบอาจเจ็บเมื่อสัมผัส
  • มีไข้: ในกรณีที่กล้ามเนื้ออักเสบเกิดจากการติดเชื้อ อาจมีอาการไข้ร่วมด้วย

กล้ามเนื้ออักเสบใช้เวลากี่วันหาย?

ระยะเวลาในการหายของกล้ามเนื้ออักเสบนั้น ไม่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น:

  • สาเหตุของการอักเสบ: กล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานมากเกินไป อาจหายได้เร็วกว่ากล้ามเนื้ออักเสบจากโรคประจำตัว
  • ความรุนแรงของอาการ: กล้ามเนื้ออักเสบเล็กน้อย อาจหายได้ภายในไม่กี่วัน แต่กล้ามเนื้ออักเสบที่รุนแรง อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์
  • การดูแลตัวเอง: การพักผ่อน การประคบเย็น การใช้ยา และการทำกายภาพบำบัด สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหายได้เร็วขึ้น

โดยทั่วไปแล้ว กล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานมากเกินไป หรือการบาดเจ็บเล็กน้อย อาจใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นภายในช่วงเวลาดังกล่าว หรือมีอาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

แนวทางการดูแลตัวเองเมื่อมีอาการกล้ามเนื้ออักเสบ:

  • พักผ่อน: หลีกเลี่ยงการใช้งานกล้ามเนื้อที่อักเสบ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ประคบเย็น: ประคบเย็นบริเวณที่อักเสบในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวมและปวด
  • ประคบร้อน: หลังจาก 48 ชั่วโมง ให้ประคบร้อนเพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
  • ใช้ยาแก้ปวด: ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ: การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ สามารถช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อได้
  • ทำกายภาพบำบัด: ในกรณีที่อาการรุนแรง การทำกายภาพบำบัดอาจช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์: หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

ข้อควรจำ:

  • หากคุณมีอาการกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง น้ำหนักลด หรืออ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
  • การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณออกกำลังกายเป็นประจำ ควรวอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย และคูลดาวน์หลังออกกำลังกายทุกครั้ง
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม