การใส่สายสวนปัสสาวะมีกี่ประเภท

1 การดู

สายสวนปัสสาวะแบ่งตามระยะเวลาการใช้งานได้ 2 ประเภทหลัก คือ ชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เหมาะสำหรับการระบายปัสสาวะชั่วคราว และชนิดคาสาย ใช้สำหรับการระบายปัสสาวะระยะยาว การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสภาพผู้ป่วยและความจำเป็นในการรักษา แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกประเภทที่เหมาะสมที่สุด

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ
คุณอาจต้องการถาม? ดูเพิ่มเติม

เจาะลึกเรื่องสายสวนปัสสาวะ: ไม่ได้มีแค่ “ชั่วคราว” และ “คาสาย”

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องสายสวนปัสสาวะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยขยายความจากข้อมูลพื้นฐานที่ว่าสายสวนปัสสาวะแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ตามระยะเวลาการใช้งานเป็น “ชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง” และ “ชนิดคาสาย” เท่านั้น จริงอยู่ที่การแบ่งประเภทดังกล่าวเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ในทางการแพทย์ยังมีรายละเอียดและประเภทอื่นๆ ที่ควรรู้ เพื่อให้เข้าใจถึงการใช้งานและข้อบ่งชี้ของสายสวนปัสสาวะได้อย่างถูกต้อง

การแบ่งประเภทสายสวนปัสสาวะตามลักษณะการใช้งานและวัตถุประสงค์:

นอกเหนือจากการแบ่งตามระยะเวลาที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถแบ่งประเภทของสายสวนปัสสาวะได้ละเอียดขึ้นดังนี้:

  1. สายสวนปัสสาวะชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Intermittent Catheterization):

    • ลักษณะ: เป็นสายสวนที่ใช้เพื่อระบายปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะเพียงครั้งเดียว แล้วดึงออกทันที
    • วัตถุประสงค์:
      • ระบายปัสสาวะในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถปัสสาวะเองได้ชั่วคราว เช่น หลังผ่าตัด หรือได้รับยาบางชนิด
      • ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ต้องสวนปัสสาวะเองเป็นประจำ (Clean Intermittent Catheterization หรือ CIC) ในกรณีที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถบีบตัวได้ดี
    • ข้อดี: ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เมื่อเทียบกับสายสวนคาสาย เนื่องจากไม่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน
  2. สายสวนปัสสาวะชนิดคาสาย (Indwelling Catheterization):

    • ลักษณะ: เป็นสายสวนที่ใส่ค้างไว้ในกระเพาะปัสสาวะ โดยมีบอลลูนเล็กๆ พองตัวขึ้นเพื่อยึดสายให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
    • วัตถุประสงค์:
      • ระบายปัสสาวะอย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยที่ไม่สามารถปัสสาวะเองได้เป็นเวลานาน เช่น ผู้ป่วยอัมพาต หรือผู้ป่วยวิกฤต
      • ใช้ในระหว่างการผ่าตัดบางประเภท เพื่อควบคุมปริมาณปัสสาวะ
      • ใช้เพื่อวัดปริมาณปัสสาวะที่แน่นอนในผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
    • ข้อเสีย: เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อท่อปัสสาวะ
  3. สายสวนปัสสาวะแบบ Condom Catheter (External Catheter):

    • ลักษณะ: เป็นอุปกรณ์ภายนอกที่คล้ายถุงยางอนามัย สวมครอบอวัยวะเพศชาย และต่อกับถุงเก็บปัสสาวะ
    • วัตถุประสงค์: ใช้เพื่อระบายปัสสาวะในผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แต่ยังสามารถปัสสาวะได้เองบ้าง
    • ข้อดี: ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เมื่อเทียบกับสายสวนคาสาย เพราะไม่ได้สอดเข้าไปในท่อปัสสาวะ
    • ข้อเสีย: อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ชายที่มีอวัยวะเพศหดตัว
  4. สายสวนปัสสาวะ Supra-pubic Catheter:

    • ลักษณะ: เป็นสายสวนที่ใส่ผ่านหน้าท้องเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะโดยตรง
    • วัตถุประสงค์: ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใส่สายสวนผ่านท่อปัสสาวะได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บที่ท่อปัสสาวะ หรือมีการผ่าตัดบริเวณนั้น
    • ข้อดี: ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บต่อท่อปัสสาวะ และอาจสะดวกกว่าสำหรับผู้ป่วยบางราย
    • ข้อเสีย: จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และอาจมีความเสี่ยงของการติดเชื้อบริเวณที่ใส่สายสวน

สรุป:

การเลือกใช้สายสวนปัสสาวะชนิดใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพของผู้ป่วย สาเหตุของการไม่สามารถปัสสาวะได้ ระยะเวลาที่ต้องการระบายปัสสาวะ และความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกประเภทที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย การทำความเข้าใจประเภทต่างๆ ของสายสวนปัสสาวะจะช่วยให้คุณเข้าใจการรักษาและดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม