กินแล้วน้ำหนักไม่ขึ้นเกิดจากอะไร

กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เกิดจากอะไร?

ระบบการเผาผลาญของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ในกรณีที่รับประทานอาหารในปริมาณมาก แต่กลับไม่อ้วน อาจเป็นเพราะร่างกายมีอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR: Basal Metabolic Rate) ที่สูงกว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะเผาผลาญแคลอรี่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แคลอรี่ส่วนเกินไม่สะสมและกลายเป็นไขมันในร่างกาย

ปัจจัยที่มีผลต่อการเผาผลาญพื้นฐาน

ปัจจัยหลายประการส่งผลต่ออัตราการเผาผลาญพื้นฐาน ได้แก่

• มวลกล้ามเนื้อ: กล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่มีอัตราเผาผลาญแคลอรี่สูงกว่าไขมัน ดังนั้นผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าจะมีอัตราการเผาผลาญพื้นฐานที่สูงกว่า
• เพศ: ผู้ชายโดยทั่วไปจะมีอัตราการเผาผลาญพื้นฐานที่สูงกว่าผู้หญิง เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า
• อายุ: อัตราการเผาผลาญพื้นฐานจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อลดลงและไขมันสะสมเพิ่มขึ้น
• พันธุกรรม: ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน

เงื่อนไขทางสุขภาพที่อาจเพิ่มการเผาผลาญพื้นฐาน

นอกจากนี้ เงื่อนไขทางสุขภาพบางอย่างก็อาจเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐานได้เช่นกัน เช่น

• ไทรอยด์ทำงานมากเกินไป: ภาวะนี้ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ซึ่งจะกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรี่
• โรคเบาหวานชนิดที่ 1: ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ในอัตราที่สูงกว่า

วิธีเพิ่มการเผาผลาญพื้นฐาน

หากคุณต้องการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน คุณสามารถทำได้โดยวิธีต่อไปนี้

• สร้างกล้ามเนื้อ: การออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน
• ออกกำลังกายแบบแอโรบิก: การออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและเผาผลาญแคลอรี่
• รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน: โปรตีนจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรี่
• ดื่มชาเขียว: ชาเขียวมีสารคาเฟอีนและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่
• นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถลดการผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญแคลอรี่