จะรู้ได้ไงว่าเป็น SLE
โรคเอสแอลอี อาจแสดงอาการ ผื่นผีเสื้อบริเวณแก้ม ปวดข้อ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผมร่วง เลือดจาง เกิดแผลในปาก หรือมีอาการทางไต หากสงสัย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
สัญญาณเตือนภัย! รู้ทันโรค SLE ก่อนสายเกินแก้
โรคเอสแอลอี หรือโรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus) เป็นโรคภูมิต้านตนเองชนิดเรื้อรัง ที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ โดยไปโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะของตนเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นการรู้เท่าทันสัญญาณเตือนภัยของโรค SLE จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
อาการของโรค SLE มีความหลากหลายและไม่จำเพาะ ทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ยาก บางครั้งอาการอาจคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ และอาจปรากฏขึ้นและหายไปเป็นระยะๆ ทำให้ผู้ป่วยอาจมองข้ามสัญญาณเตือนภัยเหล่านี้ไป อาการที่พบบ่อยและควรสังเกต ได้แก่
- ผื่นรูปผีเสื้อ: ผื่นแดงรูปผีเสื้อบริเวณแก้มและสันจมูก เป็นอาการเด่นที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย SLE แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เป็น SLE จะมีผื่นนี้ และผื่นลักษณะนี้ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน
- อาการปวดข้อ: อาการปวดข้อ อักเสบ บวม และตึง โดยเฉพาะในช่วงเช้า เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย SLE โดยอาจส่งผลกระทบต่อข้อเล็กๆ ของมือและเท้า
- ไข้: ไข้ต่ำๆ เป็นๆ หายๆ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรค SLE
- อ่อนเพลียเรื้อรัง: รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียอย่างต่อเนื่อง แม้จะพักผ่อนเพียงแค่ก็ตาม
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด: การเบื่ออาหารและน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณของโรค SLE ได้
- ผมร่วง: ผมร่วงเป็นกระจุกหรือผมบางลงอย่างผิดปกติ
- ภาวะซีด: เกิดจากการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืด และเหนื่อยง่าย
- แผลในปาก: แผลในช่องปากที่ไม่หาย หรือเป็นๆ หายๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยหนึ่งของโรค SLE
- อาการทางไต: เช่น ปัสสาวะเป็นฟอง บวม ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอาการที่บ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนทางไต
หากคุณมีอาการเหล่านี้หลายอย่างร่วมกัน ไม่ควรรอให้ร่างกายทรุดโทรม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อและรูมาติสซั่ม (Rheumatologist) เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ยิ่งได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ ยิ่งมีโอกาสควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ การวินิจฉัยโรค SLE แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ซักประวัติ ตรวจเลือด และอาจต้องตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น การตรวจปัสสาวะ การเอ็กซเรย์ หรือการตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
#ภูมิแพ้#อาการsle#โรคลูปัสข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต