จ้ำเลือดมีกี่แบบ

1 การดู

รอยฟกช้ำเกิดจากเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ใต้ผิวหนังแตก ทำให้เลือดซึมออกมากลายเป็นสีม่วง แดง หรือน้ำเงิน ความรุนแรงของการกระแทก อายุ และภาวะสุขภาพส่วนบุคคล ล้วนมีผลต่อขนาดและสีของรอยฟกช้ำ หากมีรอยฟกช้ำผิดปกติบ่อยครั้ง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

จ้ำเลือด…หลากสี หลายแบบ บอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพเรา?

รอยฟกช้ำ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “จ้ำเลือด” นั้นเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เกิดจากการที่เส้นเลือดฝอยเล็กๆ ใต้ผิวหนังแตก ทำให้เลือดรั่วไหลออกมาอยู่ใต้ผิวหนัง แสดงให้เห็นเป็นรอยสีม่วงเข้ม แดง หรือน้ำเงิน ความจริงแล้ว การแบ่งประเภท “จ้ำเลือด” ออกเป็นแบบๆ นั้น ไม่ใช่การจำแนกทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่เราสามารถพิจารณาจากลักษณะที่ปรากฏ ขนาด และสาเหตุ เพื่อให้เข้าใจถึงความรุนแรงและความจำเป็นในการปรึกษาแพทย์ได้ดียิ่งขึ้น

แทนที่จะจำแนกเป็น “แบบ” เราอาจพิจารณาจ้ำเลือดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

1. ขนาดและรูปร่าง:

  • จ้ำเลือดเล็กๆ (Petechiae): มีขนาดเล็กกว่า 3 มิลลิเมตร มักปรากฏเป็นจุดเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ อาจเกิดจากการกระแทกเล็กน้อย การติดเชื้อ หรือภาวะเลือดออกผิดปกติบางชนิด เช่น ไข้เลือดออก โรคเลือด หรือการใช้ยาบางชนิด
  • จ้ำเลือดขนาดกลาง (Purpura): มีขนาดใหญ่กว่า 3 มิลลิเมตร แต่เล็กกว่า 1 เซนติเมตร อาจเป็นสีแดง ม่วง หรือน้ำเงิน เกิดจากการกระแทกที่แรงกว่า หรืออาจเกิดจากภาวะเลือดออกผิดปกติเช่นเดียวกับ petechiae
  • จ้ำเลือดขนาดใหญ่ (Ecchymosis): มีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร มักเกิดจากการกระแทกอย่างแรง อุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บ สีอาจเปลี่ยนไปตามระยะเวลา จากสีม่วงเข้ม กลายเป็นสีเขียว เหลือง และสุดท้ายจางหายไป

2. สี:

สีของจ้ำเลือดเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา เริ่มจากสีม่วงเข้มหรือแดง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว เหลือง และจางหายไปในที่สุด สีไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทของจ้ำเลือดโดยตรง แต่สามารถบ่งบอกถึงระยะเวลาที่เกิดขึ้นได้

3. สาเหตุ:

สาเหตุของจ้ำเลือดนั้นหลากหลาย ตั้งแต่การกระแทกเล็กน้อย การบาดเจ็บ จนถึงภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเลือด โรคตับ โรคไต การขาดวิตามินซี หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การแพ้ยาบางชนิดก็สามารถก่อให้เกิดจ้ำเลือดได้

เมื่อใดควรพบแพทย์?

แม้ว่าจ้ำเลือดส่วนใหญ่จะหายไปเองได้ภายในสองถึงสามสัปดาห์ แต่หากพบว่ามีอาการต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยทันที:

  • มีจ้ำเลือดเกิดขึ้นบ่อยครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีจ้ำเลือดขนาดใหญ่ หรือมีหลายๆ จ้ำพร้อมกัน
  • มีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหลบ่อย เลือดออกตามไรฟัน
  • มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดข้อ หรือบวม

สรุปแล้ว การแบ่งประเภท “จ้ำเลือด” นั้นไม่ใช่เรื่องตายตัว แต่การสังเกตลักษณะ ขนาด สี และสาเหตุ รวมถึงการพิจารณาอาการอื่นๆ ที่ร่วมด้วย จะช่วยให้เราประเมินความรุนแรงและตัดสินใจได้ว่าควรปรึกษาแพทย์หรือไม่ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพราะจ้ำเลือดอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้เช่นกัน