ทําไมเสมหะถึงเปลี่ยนเป็นสีเขียว

เสมหะสีเขียว: สัญญาณเตือนจากร่างกายที่คุณไม่ควรมองข้าม

เสมหะ หรือน้ำมูกเหนียวข้นที่เราไอออกมา เป็นของเหลวที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อปกป้องทางเดินหายใจจากฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอม โดยปกติแล้ว เสมหะจะมีสีใสหรือสีขาวขุ่น แต่บางครั้งเราอาจพบว่าเสมหะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ซึ่งอาจสร้างความกังวลใจได้ไม่น้อย ความจริงแล้ว สีเขียวของเสมหะไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวเสมอไป และไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเสมอไป แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติภายในร่างกายที่ควรได้รับการสังเกตอย่างใกล้ชิด

สาเหตุหลักที่ทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคือ การติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม เมื่อร่างกายตรวจพบการติดเชื้อ เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นทหารผู้พิทักษ์ของระบบภูมิคุ้มกันจะถูกส่งไปยังจุดที่เกิดการติดเชื้อเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรีย ในกระบวนการต่อสู้ครั้งนี้ เม็ดเลือดขาวจะปล่อยเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า myeloperoxidase เอนไซม์นี้มีสีเขียว และเป็นสาเหตุที่ทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเขียว กล่าวได้ว่า สีเขียวของเสมหะสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของร่างกายในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียออกไป นั่นหมายความว่า ร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้ออย่างแข็งขัน

อย่างไรก็ตาม สีเขียวของเสมหะเพียงอย่างเดียวไม่สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องพิจารณาอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

• ไข้สูง: อาการไข้สูงบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่รุนแรง
• ไอมีเสมหะมาก: ปริมาณเสมหะที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งบอกถึงการอักเสบของทางเดินหายใจ
• หายใจลำบาก: อาการนี้บ่งชี้ถึงความรุนแรงของการติดเชื้อ และอาจเป็นอันตรายได้
• เจ็บหน้าอก: อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบของเยื่อบุปอด
• เหนื่อยล้า: อาการเหนื่อยล้าอย่างรุนแรงอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่รุนแรง

หากคุณพบว่ามีเสมหะสีเขียวร่วมกับอาการอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจสอบอาการ และอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือดหรือเอกซเรย์ปอด เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาที่เหมาะสม การรักษาอาจรวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะหากสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

สรุปได้ว่า เสมหะสีเขียวเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ แม้ว่าจะไม่ใช่สัญญาณที่อันตรายเสมอไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม การสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วยและปรึกษาแพทย์เมื่อจำเป็น จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและมีสุขภาพที่ดีขึ้น