นอนแล้วหายใจไม่ออกต้องทำไง

นอนแล้วหายใจไม่ออก! อย่าชะล่าใจ รู้เท่าทันและรับมืออย่างไร

อาการนอนแล้วหายใจไม่ออก เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย บางครั้งอาจเป็นเพียงอาการเล็กน้อยที่แก้ไขได้ง่าย แต่บางครั้งอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง การรู้เท่าทันและรับมืออย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

สาเหตุที่ทำให้หายใจไม่อออกขณะนอนหลับนั้นมีหลากหลาย ได้แก่:

• โรคภูมิแพ้: ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบในทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบากขณะนอนหลับ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือหอบหืด

• ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea): เป็นโรคที่ทำให้การหายใจหยุดชะงักเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงนอนในเวลากลางวัน และอาจมีอาการหายใจติดขัด เสียงกรนดัง หรือตื่นขึ้นมาบ่อยๆ ในเวลากลางคืน

• โรคกรดไหลย้อน: กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก

• ความอ้วน: ไขมันส่วนเกินรอบลำคออาจไปกดทับทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก

• ท่าทางการนอน: การนอนตะแคงลงด้านเดียวกันตลอดเวลา อาจทำให้ทางเดินหายใจอุดตัน เช่นเดียวกับการใช้หมอนหนุนสูงเกินไป

• ความเครียด: ความเครียดสะสมอาจทำให้กล้ามเนื้อตึง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้หายใจลำบาก

หากคุณประสบกับอาการนอนแล้วหายใจไม่ออก ควรลองทำดังนี้:

• ปรับท่าทางการนอน: ลองนอนตะแคงข้าง หรือใช้หมอนหนุนให้ลำตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อเปิดทางเดินหายใจ การนอนหงายอาจทำให้ลิ้นอ่อนตกไปปิดทางเดินหายใจได้ง่าย

• ดื่มน้ำอุ่นก่อนนอน: จะช่วยลดการระคายเคืองในลำคอ และช่วยให้หลับสบายขึ้น

• ปรับสภาพแวดล้อม: ระบายอากาศในห้องนอนให้ดี ควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก ลดความอับชื้น และทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ เพื่อลดปริมาณไรฝุ่น

• หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น: ถ้าทราบว่าตนเองแพ้สิ่งใด ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เช่น ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ในห้องนอน หรือใช้ผ้าปูที่นอนแบบกันไรฝุ่น

แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจเหนื่อยหอบ หน้ามืด หรือรู้สึกแน่นหน้าอก ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อย่าปล่อยปละละเลย เพราะอาการหายใจไม่ออกอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องตามอาการของแต่ละบุคคล