บริจาคเลือด ตรวจอะไรบ้าง

2 การดู

โลหิตทุกยูนิตที่บริจาคจะผ่านการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจหมู่เลือด, Rh factor, และโรคติดต่อร้ายแรงต่างๆ เช่น ซิฟิลิส, HIV, และไวรัสตับอักเสบ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ควรบริจาคเพื่อหวังผลการตรวจ เพราะอาจตรวจไม่พบเชื้อในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

บริจาคเลือด ตรวจอะไรบ้าง? ไขข้อสงสัยเพื่อความปลอดภัยของผู้ให้และผู้รับ

การบริจาคเลือดถือเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นการต่อลมหายใจให้แก่ผู้ที่ต้องการโลหิตในการรักษา แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า เลือดที่เราบริจาคไปนั้น จะถูกนำไปทำอะไรต่อ และมีการตรวจอะไรบ้างเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยทั้งต่อผู้รับและตัวผู้บริจาคเอง บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยในประเด็นนี้อย่างละเอียด

ทำไมต้องตรวจเลือดที่บริจาค?

หัวใจสำคัญของการบริจาคเลือดคือความปลอดภัย ทั้งต่อผู้รับที่ต้องได้รับการถ่ายเลือด และต่อผู้บริจาคเอง การตรวจเลือดที่บริจาคอย่างละเอียดจึงเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อร้ายแรงผ่านการถ่ายเลือด และเพื่อประเมินสุขภาพของผู้บริจาคเบื้องต้น

ขั้นตอนการตรวจเลือดหลังการบริจาค:

เลือดทุกยูนิตที่ได้รับบริจาคมา จะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการตรวจคัดกรองอย่างละเอียด โดยมีการตรวจหลักๆ ดังนี้:

  1. การตรวจหมู่เลือด (ABO Blood Grouping) และ Rh Factor: เป็นการตรวจพื้นฐานเพื่อระบุหมู่เลือดของผู้บริจาค (A, B, AB, O) และชนิดของ Rh factor (Rh+ หรือ Rh-) เพื่อให้แน่ใจว่าเลือดที่ถ่ายให้กับผู้ป่วยนั้นตรงกับหมู่เลือดและ Rh factor ของผู้ป่วย ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการถ่ายเลือดผิดหมู่

  2. การตรวจหาแอนติบอดีต่อเม็ดเลือดแดง (Antibody Screening): เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่อาจอยู่ในเลือดของผู้บริจาค ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้รับหากแอนติบอดีเหล่านั้นทำปฏิกิริยากับเม็ดเลือดแดงของผู้รับ

  3. การตรวจหาโรคติดต่อร้ายแรง: การตรวจหาเชื้อโรคติดต่อร้ายแรงถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคผ่านการถ่ายเลือด โรคที่ตรวจคัดกรองโดยทั่วไป ได้แก่:

    • ซิฟิลิส (Syphilis): เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถแพร่กระจายผ่านการถ่ายเลือด
    • ไวรัสเอชไอวี (HIV): ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS)
    • ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B): ไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ
    • ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C): ไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับเรื้อรัง
    • ไวรัส HTLV-I/II: ไวรัสที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด และโรคทางระบบประสาท

เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจ:

การตรวจคัดกรองโรคติดต่อร้ายแรงในปัจจุบัน มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความไวสูง เช่น:

  • NAT (Nucleic Acid Testing): เป็นการตรวจหาปริมาณสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโดยตรง ทำให้สามารถตรวจพบเชื้อได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ ซึ่งเร็วกว่าการตรวจหาแอนติบอดี
  • ELISA (Enzyme-Linked Immunosorbent Assay): เป็นการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสในเลือด

ข้อควรจำ:

ถึงแม้ว่าการตรวจเลือดหลังการบริจาคจะมีความละเอียดและแม่นยำสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ “Window Period” หรือระยะฟักตัวของเชื้อโรค ที่ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีออกมา ทำให้การตรวจอาจให้ผลเป็นลบได้

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนการบริจาค หากมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ควรงดการบริจาคเลือด และเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อความแน่ใจ

บริจาคด้วยความสมัครใจ บริจาคด้วยความรับผิดชอบ

การบริจาคเลือดเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง แต่ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม การประเมินความเสี่ยงของตนเอง และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่บุคลากรทางการแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเลือดทุกยูนิตที่บริจาคไปนั้น ปลอดภัยและสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง