ภูมิคุ้มกันโรคมีกี่ประเภท

7 การดู

ภูมิคุ้มกันโรคแบบได้รับตามธรรมชาติแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. Active naturally acquired immunity: เกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ เช่น หัด หัดเยอรมัน ไข้หวัดใหญ่ 2. Passive naturally acquired immunity: ได้รับจากแม่ผ่านรกหรือน้ำนมแม่ 3. Active artificially acquired immunity: เกิดจากการฉีดวัคซีน 4. Passive artificially acquired immunity: เกิดจากการฉีดโปรตีนหรือแอนติบอดี

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ภูมิคุ้มกันโรค: มากกว่าแค่กำแพงป้องกัน

ระบบภูมิคุ้มกันเปรียบเสมือนกองทัพผู้พิทักษ์สุขภาพของเรา คอยสกัดกั้นเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ไม่ให้เข้ามาทำลายร่างกาย แต่เรารู้หรือไม่ว่า กองทัพนี้มีกลยุทธ์การป้องกันที่หลากหลาย และไม่ได้มีเพียงแค่ “ภูมิคุ้มกัน” แบบเดียวเท่านั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของภูมิคุ้มกันจะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งภูมิคุ้มกันโรคออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ ภูมิคุ้มกันแบบได้มาตามธรรมชาติ (Naturally Acquired Immunity) และภูมิคุ้มกันแบบได้มาจากการกระทำของมนุษย์ (Artificially Acquired Immunity) ภายในแต่ละกลุ่มยังแบ่งย่อยออกเป็นประเภทต่างๆ ตามกลไกการสร้างและแหล่งที่มาของภูมิคุ้มกัน ดังนี้:

1. ภูมิคุ้มกันแบบได้มาตามธรรมชาติ (Naturally Acquired Immunity)

ภูมิคุ้มกันประเภทนี้ร่างกายสร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องมีการแทรกแซงจากภายนอก แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

  • 1.1 ภูมิคุ้มกันแบบได้มาตามธรรมชาติชนิดแอคทีฟ (Active Naturally Acquired Immunity): เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังจากร่างกายได้ติดเชื้อโรคแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรคนั้นโดยตรง หลังจากที่ร่างกายเอาชนะเชื้อโรคได้ ก็จะยังคงมีเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดที่จำเชื้อโรคตัวนั้นได้ ทำให้หากร่างกายได้รับเชื้อโรคชนิดเดียวกันอีกครั้งในอนาคต ระบบภูมิคุ้มกันจะสามารถตอบสนองได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วหายเป็นปกติ ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดนั้นไว้ แต่ไม่ใช่ทุกชนิดของไข้หวัดใหญ่ เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา

  • 1.2 ภูมิคุ้มกันแบบได้มาตามธรรมชาติชนิดพาสซีฟ (Passive Naturally Acquired Immunity): เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาจากมารดาโดยตรง ผ่านทางรกในระหว่างตั้งครรภ์ หรือจากน้ำนมแม่หลังคลอด แอนติบอดีที่ได้รับจากมารดาจะช่วยปกป้องทารกจากโรคต่างๆ ในช่วงแรกเกิด แต่ภูมิคุ้มกันชนิดนี้เป็นภูมิคุ้มกันระยะสั้น และจะค่อยๆ ลดลงไปตามเวลา ตัวอย่างเช่น แอนติบอดีต่อโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมัน ที่ทารกได้รับจากมารดา

2. ภูมิคุ้มกันแบบได้มาจากการกระทำของมนุษย์ (Artificially Acquired Immunity)

ภูมิคุ้มกันประเภทนี้เกิดจากการแทรกแซงของมนุษย์ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

  • 2.1 ภูมิคุ้มกันแบบได้มาจากการกระทำของมนุษย์ชนิดแอคทีฟ (Active Artificially Acquired Immunity): เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน วัคซีนจะนำเชื้อโรคที่ถูกทำให้เป็นอันตรายหรืออ่อนแอลงแล้ว หรือเพียงส่วนประกอบของเชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีขึ้นมา โดยที่ไม่ก่อให้เกิดโรค ภูมิคุ้มกันชนิดนี้มีระยะเวลาคงอยู่ค่อนข้างนาน แต่บางครั้งอาจต้องได้รับการกระตุ้นด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนป้องกันโรคหัด และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

  • 2.2 ภูมิคุ้มกันแบบได้มาจากการกระทำของมนุษย์ชนิดพาสซีฟ (Passive Artificially Acquired Immunity): เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาจากการฉีดแอนติบอดีหรือโปรตีนที่สร้างขึ้นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นภูมิคุ้มกันระยะสั้น และไม่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีของตัวเอง ตัวอย่างเช่น การฉีดแอนติบอดีต่อพิษงู หรือการใช้เซรุ่มรักษาโรคพิษสุนัขบ้า

ดังนั้น การเข้าใจประเภทของภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค และใช้ประโยชน์จากการแพทย์สมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่ว่าจะจากธรรมชาติหรือจากการกระทำของมนุษย์ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง และการดูแลสุขภาพอย่างครบถ้วน ควบคู่กับการรับวัคซีนตามกำหนด จะเป็นการสร้างกำแพงคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับร่างกายของเราได้อย่างแท้จริง