ระดับของโรงพยาบาลมีกี่ระดับ

ระดับของโรงพยาบาลในประเทศไทย: มากกว่าแค่ “ใหญ่” และ “เล็ก”

การจำแนกระดับของโรงพยาบาลนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือจำนวนเตียงเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ครอบครอง แม้ว่าจะไม่มีระบบการจัดระดับที่เป็นทางการและชัดเจนเหมือนกับระดับของโรงเรียน แต่เราก็สามารถแบ่งระดับของโรงพยาบาลในประเทศไทยได้อย่างกว้างๆ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันไปตามหน่วยงานที่ทำการจัดแบ่ง

การจำแนกประเภทที่พบได้บ่อย และเป็นที่รู้จักกันดีนั้น มักจะอ้างอิงถึงความสามารถในการรักษาผู้ป่วย และความครอบคลุมของสาขาการแพทย์ เช่น โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลท้องถิ่น โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย แต่ละระดับจะมีความแตกต่างกันในด้านจำนวนเตียง จำนวนแพทย์เฉพาะทาง ความพร้อมของเครื่องมือและเทคโนโลยี และความสามารถในการดูแลรักษาโรคที่ซับซ้อน

ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก (อาจเทียบได้กับระดับ F1 หรือ F2 ตามที่ยกตัวอย่างมา) มักจะมีจำนวนเตียงน้อย มีแพทย์ประจำการไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือเวชศาสตร์ครอบครัว อาจไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่จำกัด ในขณะที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ (เช่น โรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย) จะมีจำนวนเตียงมาก มีแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา เครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือโรคที่ซับซ้อนได้

อย่างไรก็ตาม การจำแนกประเภทนี้ไม่ได้มีความเป็นทางการและตายตัวเสมอไป บางครั้งอาจใช้เกณฑ์อื่นๆ เช่น การรับรองคุณภาพจากหน่วยงานต่างๆ หรือการกำหนดระดับตามงบประมาณ และนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสน จึงควรพิจารณาจากความสามารถในการให้บริการ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรเป็นหลัก

ในกรณีของคุณ โรงพยาบาลระดับ F2 ที่มีเตียง 30-90 เตียง ให้บริการโดยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือเวชศาสตร์ครอบครัว 2-5 ท่าน ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง ถือเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเครือข่ายบริการปฐมภูมิ และให้บริการเบื้องต้นแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือต้องการการรักษาเฉพาะทางไปยังโรงพยาบาลระดับที่สูงขึ้นต่อไป

สรุปแล้ว การจำแนกระดับของโรงพยาบาลในประเทศไทยมีความหลากหลาย และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การเข้าใจความแตกต่างของแต่ละระดับจะช่วยให้ประชาชนสามารถเลือกใช้บริการทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสม และเข้าใจถึงขีดความสามารถในการให้บริการของโรงพยาบาลแต่ละแห่งได้ดียิ่งขึ้น