รับราชการห้ามเป็นโรคอะไร

6 การดู
บุคคลที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงตามที่กำหนดในหัวข้อ 2 แห่งมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 ไม่สามารถรับราชการได้ โรคดังกล่าว ได้แก่ โรคเรื้อน โรคเอดส์ระยะสุดท้าย วัณโรคปอดระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ โรคจิตฟ้าประสาท โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคติดยาเสพติดให้โทษ
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

การรับราชการเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติและมีความรับผิดชอบสูง บุคลากรของรัฐต้องมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เพื่อปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ ดังนั้นจึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ารับราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานและความสามารถในการรับผิดชอบหน้าที่ หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ผู้สมัครรับราชการต้องปฏิบัติตาม คือ การไม่มีโรคติดต่อร้ายแรงบางชนิด ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ข้อ 2

ข้อกำหนดนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อการเลือกปฏิบัติหรือการกีดกันผู้มีความบกพร่องทางสุขภาพ แต่เป็นการรักษาความมั่นคงและประสิทธิภาพของระบบราชการ การป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อร้ายแรงภายในองค์กรภาครัฐ และการดูแลรักษาสุขภาพของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

โรคติดต่อร้ายแรงที่กฎหมายระบุไว้ว่าผู้ป่วยไม่สามารถรับราชการได้ นั้นมีอยู่หลายโรค และโรคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อื่นได้อย่างร้ายแรง และอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ซึ่งโรคเหล่านั้นประกอบด้วย:

1. โรคเรื้อน: โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะก่อให้เกิดความพิการอย่างร้ายแรง แม้ปัจจุบันจะมีการรักษาโรคเรื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การมีเชื้อโรคนี้ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการรับราชการ

2. โรคเอดส์ระยะสุดท้าย: โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง เกิดจากเชื้อไวรัส HIV ในระยะสุดท้าย ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอมาก มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆ และมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง การปฏิบัติงานจึงเป็นไปได้ยาก และอาจเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อได้

3. วัณโรคปอดระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้: วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ หากเป็นระยะสุดท้ายและไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้อื่น และกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่

4. โรคจิตเวช: โรคจิตเวช เช่น โรคจิตเภท เป็นโรคที่มีผลต่อความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการตัดสินใจ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. โรคพิษสุราเรื้อรัง: การดื่มสุราอย่างหนักและต่อเนื่อง จะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างร้ายแรง ส่งผลต่อการทำงาน การควบคุมอารมณ์ และการตัดสินใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

6. โรคติดยาเสพติดให้โทษ: การติดยาเสพติด นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลต่อพฤติกรรม ความคิด และการควบคุมตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการทำงาน และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อตนเองและผู้อื่นได้

ข้อกำหนดเหล่านี้ แม้จะดูเข้มงวด แต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความมั่นคงของระบบราชการ การปกป้องสุขภาพของเจ้าหน้าที่และประชาชน และเพื่อให้การทำงานของภาครัฐเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณสมบัติครบถ้วน รวมถึงสุขภาพที่ดี จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างระบบราชการที่แข็งแกร่งและยั่งยืน และเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม