เจาะไขกระดูก ตรวจอะไรบ้าง

2 การดู

ตัวอย่างข้อมูลแนะนำใหม่:

การเจาะไขกระดูกเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรคเลือดที่ซับซ้อน เช่น โรคไขกระดูกผิดปกติที่ทำให้การสร้างเม็ดเลือดผิดปกติ, ความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด, หรือการประเมินการลุกลามของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเข้าสู่ไขกระดูก ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เจาะไขกระดูก: หน้าต่างสู่โลกของเซลล์เม็ดเลือด

การเจาะไขกระดูก อาจฟังดูน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วเป็นขั้นตอนการตรวจทางการแพทย์ที่สำคัญยิ่ง เปรียบเสมือน “หน้าต่าง” ที่เปิดโอกาสให้แพทย์มองเห็นสภาพของไขกระดูก อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยโรคเลือดและโรคมะเร็งบางชนิดได้อย่างแม่นยำ แตกต่างจากการตรวจเลือดทั่วไปที่ดูเพียงผลลัพธ์สุดท้าย การเจาะไขกระดูกจะช่วยให้แพทย์ตรวจสอบ “กระบวนการ” การสร้างเม็ดเลือดได้โดยตรง จึงสามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้อย่างตรงจุด

การเจาะไขกระดูกจะทำการเก็บตัวอย่างไขกระดูกจากกระดูกสะโพก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีไขกระดูกจำนวนมากและเข้าถึงได้ง่าย ขั้นตอนนี้จะทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญภายใต้การดมยาสลบเฉพาะที่ จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก หลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว ตัวอย่างไขกระดูกจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อการตรวจวิเคราะห์หลายอย่าง อาทิ:

1. การตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก (Bone Marrow Cell Count): แพทย์จะตรวจสอบจำนวนและสัดส่วนของเซลล์เม็ดเลือดต่างๆในไขกระดูก เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อประเมินความสามารถในการสร้างเม็ดเลือดของไขกระดูก การตรวจนี้ช่วยในการวินิจฉัยโรคโลหิตจาง โรคเม็ดเลือดขาว และโรคเกี่ยวกับเกล็ดเลือดต่างๆ

2. การตรวจวิเคราะห์ทางเซลล์วิทยา (Cytology): การตรวจนี้จะศึกษาโครงสร้างและลักษณะของเซลล์แต่ละชนิดในไขกระดูก เพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็ง หรือเซลล์ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งที่ลุกลามเข้าสู่ไขกระดูก และโรคไขกระดูกผิดปกติต่างๆ เช่น ไมอีโลดิสพลาเซีย (Myelodysplastic syndromes – MDS) และไมอีโลโพรลิเฟอเรทีฟ ดิสออร์เดอร์ (Myeloproliferative disorders – MPD)

3. การตรวจทางพันธุกรรม (Genetics): การตรวจทางพันธุกรรมจะวิเคราะห์ DNA ของเซลล์ในไขกระดูก เพื่อตรวจหาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ เช่น การกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเม็ดเลือด หรือโรคพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือด

4. การตรวจทางจุลชีววิทยา (Microbiology): ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา ที่อาจติดเชื้อในไขกระดูก ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงภาวะติดเชื้อรุนแรงที่อาจกระทบต่อการสร้างเม็ดเลือด

5. การตรวจทางเคมีคลินิก (Clinical Chemistry): การตรวจวัดระดับสารเคมีต่างๆ ในไขกระดูก เพื่อประเมินการทำงานของไขกระดูก และช่วยในการวินิจฉัยโรคบางชนิด

โดยสรุป การเจาะไขกระดูกเป็นขั้นตอนการตรวจที่สำคัญ ช่วยให้แพทย์ได้ข้อมูลที่ละเอียดและแม่นยำเกี่ยวกับสุขภาพของไขกระดูก นำไปสู่การวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม แม้ว่าขั้นตอนนี้จะมีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยง และควรปรึกษาแพทย์หากมีความกังวลใดๆ เกี่ยวกับขั้นตอนนี้ เพื่อรับคำอธิบายและการดูแลที่เหมาะสม ก่อนการตัดสินใจรับการตรวจ

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง