โรคแพ้ภูมิตัวเองมีอาการอย่างไร

โรคแพ้ภูมิตัวเอง: เมื่อร่างกายกลับมาต่อสู้กับตัวเอง

โรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันซึ่งปกติทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม กลับโจมตีเนื้อเยื่อของร่างกายเอง ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะไม่เฉพาะเจาะจง ทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นเรื่องท้าทาย

อาการของโรคแพ้ภูมิตัวเอง:

โรคแพ้ภูมิตัวเองมีอาการหลากหลาย และอาการที่พบบ่อยมักจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคแพ้ภูมิตัวเอง อย่างไรก็ตาม อาการทั่วไปที่พบได้บ่อย ได้แก่:

• อ่อนเพลีย: เป็นอาการที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป และอาจรุนแรงมากจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
• ปวดข้อ: อาการปวดข้อเป็นอีกอาการหนึ่งที่พบบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเล็ก ๆ เช่น ข้อมือ นิ้วมือ และข้อเท้า อาการปวดข้ออาจรุนแรง ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และมักจะเกิดขึ้นในช่วงเช้า
• ไข้: ไข้เป็นอาการทั่วไปที่พบได้ในหลายโรคแพ้ภูมิตัวเอง ไข้ที่เกิดขึ้นกับโรคแพ้ภูมิตัวเองมักจะเป็นไข้ต่ำ และอาจเกิดขึ้นเรื้อรัง
• ผื่นแดงบนใบหน้า: ผื่นแดงบนใบหน้าคล้ายผีเสื้อ มักพบในโรคลูปัส ผื่นนี้มักจะปรากฏบริเวณแก้ม จมูก และหน้าผาก และอาจมีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บ
• บวม: อาการบวมมักเกิดขึ้นที่ใบหน้า มือ และเท้า และอาจเกิดขึ้นได้จากการสะสมของของเหลวในร่างกาย
• ไวต่อแสงแดด: คนที่มีโรคแพ้ภูมิตัวเอง มักจะมีอาการไวต่อแสงแดด ทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมง่าย
• หายใจลำบาก: โรคแพ้ภูมิตัวเองบางชนิดอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับปอด เช่น ปอดอักเสบ ซึ่งอาจทำให้หายใจลำบาก
• ปัญหาเกี่ยวกับไต: โรคแพ้ภูมิตัวเองบางชนิดอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ไตอักเสบ หรือไตวาย

หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจมีอาการของโรคแพ้ภูมิตัวเอง ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และอาจทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือตรวจทางรังสี เพื่อยืนยันการวินิจฉัย

การรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง มักจะรวมถึงการใช้ยา เช่น ยาต้านภูมิคุ้มกัน หรือยาสเตียรอยด์ เพื่อควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ก็สามารถช่วยลดอาการของโรคแพ้ภูมิตัวเองได้

การวินิจฉัยและรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และอาจต้องใช้เวลาหลายครั้งในการปรับเปลี่ยนแผนการรักษา สิ่งสำคัญคือ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับแพทย์ และแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับอาการของคุณ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม