โรค ADH คืออะไร

1 การดู

ภาวะเบาจืดเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ADH ที่ควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย หาก ADH น้อยลง ไตจะไม่สามารถดูดน้ำกลับ ทำให้ปัสสาวะมากเกินไป ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากความเสียหายต่อสมองส่วนไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมองที่ผลิต ADH หรือจากไตที่ไม่ตอบสนองต่อ ADH

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โรค ADH: เบาจืดที่มากกว่าแค่ปัสสาวะบ่อย

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “เบาจืด” และเข้าใจว่าคืออาการปัสสาวะบ่อย แต่แท้จริงแล้ว เบาจืดเป็นภาวะที่ซับซ้อนกว่านั้น และเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนสำคัญที่มีชื่อว่า ADH หรือ Antidiuretic Hormone ซึ่งมีบทบาทหลักในการควบคุมสมดุลน้ำในร่างกายของเรา

ADH คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

ADH เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากสมองส่วนไฮโปทาลามัสและถูกเก็บไว้ในต่อมใต้สมอง เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ หรือความเข้มข้นของสารละลายในเลือดสูงขึ้น สมองจะสั่งให้ต่อมใต้สมองปล่อย ADH ออกมา ADH จะเดินทางไปยังไต และกระตุ้นให้ไตดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ปริมาณปัสสาวะลดลง และรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายให้เป็นปกติ

เมื่อ ADH ผิดปกติ: ภาวะเบาจืด

ภาวะเบาจืดเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถควบคุมสมดุลน้ำได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมักเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ADH ไม่ว่าจะเป็น:

  • การขาด ADH (Central Diabetes Insipidus): สมองส่วนไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมองเสียหาย ทำให้ผลิต ADH ได้น้อย หรือไม่สามารถผลิตได้เลย ทำให้ไตไม่ได้รับการกระตุ้นให้ดูดน้ำกลับ
  • ไตไม่ตอบสนองต่อ ADH (Nephrogenic Diabetes Insipidus): ไตไม่สามารถตอบสนองต่อ ADH ที่ผลิตออกมาได้ตามปกติ ทำให้ไตไม่สามารถดูดน้ำกลับ แม้ว่า ADH จะมีปริมาณเพียงพอ

สาเหตุที่ทำให้ ADH ผิดปกติ

สาเหตุของภาวะเบาจืดมีความหลากหลาย และอาจแบ่งออกได้เป็น:

  • พันธุกรรม: บางรายอาจมีภาวะเบาจืดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • การบาดเจ็บที่ศีรษะ: การบาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรงอาจทำให้สมองส่วนไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมองเสียหาย
  • เนื้องอกในสมอง: เนื้องอกในสมองบริเวณไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมอง อาจรบกวนการผลิต ADH
  • การผ่าตัดสมอง: การผ่าตัดสมองบริเวณใกล้เคียง อาจส่งผลต่อการทำงานของไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมอง
  • โรคไต: โรคไตบางชนิดอาจทำให้ไตไม่ตอบสนองต่อ ADH
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ลิเธียม (Lithium) อาจส่งผลต่อการทำงานของไตในการตอบสนองต่อ ADH
  • ภาวะอื่นๆ: โรคบางชนิด เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) หรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Anemia) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเบาจืด

ผลกระทบต่อร่างกาย

ภาวะเบาจืดส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำในปริมาณมากผ่านทางปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการ:

  • ปัสสาวะบ่อยมาก: ปริมาณปัสสาวะอาจมากถึง 3-15 ลิตรต่อวัน
  • กระหายน้ำมาก: ร่างกายพยายามรักษาสมดุลน้ำโดยการกระตุ้นความรู้สึกกระหายน้ำ
  • ร่างกายขาดน้ำ: ภาวะขาดน้ำอาจนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ สับสน และในกรณีที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • นอนไม่หลับ: การตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆ ในตอนกลางคืน อาจรบกวนการนอนหลับ

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยภาวะเบาจืดต้องอาศัยการตรวจร่างกาย การซักประวัติทางการแพทย์ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจปัสสาวะ การตรวจเลือด และการทดสอบการขาดน้ำ (Water Deprivation Test)

การรักษาภาวะเบาจืดขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยอาจรวมถึง:

  • การให้ฮอร์โมน ADH: สำหรับผู้ที่ขาด ADH สามารถใช้ยา Desmopressin ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่คล้ายกับ ADH เพื่อทดแทนฮอร์โมนที่ขาดหายไป
  • การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ: หากภาวะเบาจืดเกิดจากโรคไตหรือยาบางชนิด การรักษาโรคเหล่านั้น หรือการปรับเปลี่ยนยา อาจช่วยบรรเทาอาการได้
  • การควบคุมปริมาณน้ำ: การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ อาจช่วยลดอาการกระหายน้ำได้
  • การปรับอาหาร: การลดปริมาณเกลือในอาหาร อาจช่วยลดปริมาณปัสสาวะได้

สรุป

ภาวะเบาจืดเป็นภาวะที่ซับซ้อนซึ่งเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ADH ที่ควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย การเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และการรักษาภาวะนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้อย่างเหมาะสม หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการของภาวะเบาจืด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง