ใครบ้างที่บริจาคเลือดไม่ได้
บุคคลที่มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรง ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ ผู้ที่เคยใช้สารเสพติดทางหลอดเลือด และผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ไม่ควรบริจาคเลือด เพื่อความปลอดภัยของผู้รับเลือดและผู้บริจาคเอง
ใครบ้างที่ไม่ควรบริจาคโลหิต? เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิต
การบริจาคโลหิตเป็นการกระทำอันทรงคุณค่าที่ช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน แต่การบริจาคโลหิตอย่างปลอดภัยนั้นสำคัญไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะช่วยชีวิตผู้รับแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริจาคด้วย ดังนั้นจึงมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ควรบริจาคโลหิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อทั้งผู้รับและผู้บริจาคเอง บทความนี้จะกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเหล่านั้นโดยละเอียด โดยเน้นย้ำถึงเหตุผลทางการแพทย์ที่อยู่เบื้องหลังข้อจำกัดเหล่านี้
1. ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด: การบริจาคโลหิตอาจทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลงอย่างฉับพลัน สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว การลดลงของปริมาณเลือดอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรงได้ เช่น ความดันโลหิตตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือแม้กระทั่งหัวใจวาย ดังนั้นผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคลิ้นหัวใจ หรือเคยผ่าตัดหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคโลหิต
2. ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรง (Severe Anemia): ภาวะโลหิตจางคือภาวะที่มีระดับฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่าปกติ การบริจาคโลหิตในผู้ที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรงจะยิ่งทำให้ระดับฮีโมโกลบินลดลง ส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมา ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางควรได้รับการรักษาให้ระดับฮีโมโกลบินกลับมาปกติก่อนจึงจะสามารถพิจารณาบริจาคโลหิตได้
3. ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ หรือมีแผลผ่าตัดที่ยังไม่หายดี: การผ่าตัดใหญ่จะทำให้ร่างกายสูญเสียเลือดและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว การบริจาคโลหิตในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น อาจทำให้แผลหายช้า เกิดการติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือนหลังการผ่าตัดใหญ่ก่อนพิจารณาบริจาคโลหิต
4. ผู้ที่เคยใช้สารเสพติดทางหลอดเลือด (Intravenous Drug User): การใช้สารเสพติดทางหลอดเลือดมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอชไอวี และโรคติดต่อทางเลือดอื่นๆ การบริจาคโลหิตจากกลุ่มนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้รับ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับโลหิต ผู้ที่มีประวัติการใช้สารเสพติดทางหลอดเลือดจึงไม่ควรบริจาคโลหิต
5. ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร: การตั้งครรภ์และให้นมบุตรเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของผู้หญิงต้องการธาตุอาหารและเลือดอย่างมาก การบริจาคโลหิตในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและเลือด อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารก ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือนหลังคลอดก่อนพิจารณาบริจาคโลหิต
นอกจากกลุ่มบุคคลข้างต้น ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น น้ำหนักตัว ความดันโลหิต อุณหภูมิร่างกาย และประวัติการเจ็บป่วยอื่นๆ ที่แพทย์จะพิจารณาอย่างละเอียดก่อนอนุญาตให้บริจาคโลหิต การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การบริจาคโลหิตเป็นการกระทำที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยชีวิตผู้อื่นได้อย่างแท้จริง และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริจาคเองด้วย
#บริจาคเลือด#ผู้ไม่สามารถ#เงื่อนไขข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต