Hemodialysis มีกี่แบบ

8 การดู

การฟอกเลือดแบ่งเป็นสองวิธีหลัก คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ซึ่งผู้ป่วยเข้ารับบริการที่ศูนย์ไตเทียมเป็นระยะ และการฟอกไตทางช่องท้อง วิธีนี้ผู้ป่วยสามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยใช้สารละลายพิเศษล้างของเสียออกจากเลือด ความถี่ในการฟอกเลือดขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

การฟอกเลือด: ทางเลือกเพื่อชีวิตที่ต่อเนื่อง

การทำงานของไตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกาย เพราะทำหน้าที่กรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด แต่เมื่อไตทำงานผิดปกติ เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง ร่างกายจะไม่สามารถกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง การฟอกเลือดจึงเป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยชะลอการลุกลามของโรคและยืดอายุของผู้ป่วย

ปัจจุบันการฟอกเลือดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ โดยพิจารณาจากสถานที่ อุปกรณ์ และวิธีการ ได้แก่:

1. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis)

เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยผู้ป่วยต้องเดินทางไปรับการรักษาที่ศูนย์ไตเทียม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง ขั้นตอนการรักษาจะเริ่มจากการเจาะเส้นเลือดใหญ่บริเวณแขน ต่อท่อเชื่อมกับเครื่องไตเทียม ซึ่งภายในบรรจุไส้กรอง ทำหน้าที่กรองเลือด แยกของเสียออก แล้วส่งเลือดที่สะอาดกลับเข้าสู่ร่างกาย

ข้อดีของการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมคือ มีประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียได้สูง และทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มีข้อจำกัดคือ ผู้ป่วยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ต้องปฏิบัติตามตารางเวลาอย่างเคร่งครัด และอาจเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ เช่น ความดันโลหิตต่ำ เลือดแข็งตัวในท่อ

2. การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

เป็นวิธีที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยแพทย์จะผ่าตัดใส่สายสวนเข้าไปในช่องท้อง จากนั้นผู้ป่วยจะทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาฟอกไตผ่านสายสวนวันละหลายครั้ง น้ำยาจะเข้าไปทำหน้าที่คล้ายไตเทียม ดูดซับของเสียจากเส้นเลือดฝอยในช่องท้อง แล้วจึงระบายของเสียออกทางสายสวน

ข้อดีของการฟอกไตทางช่องท้องคือ ผู้ป่วยมีความเป็นอิสระ สามารถทำได้เองที่บ้าน สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่ต้องอาศัยวินัยและความรับผิดชอบสูงในการดูแลตนเอง รวมถึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้องได้

การเลือกวิธีการฟอกเลือดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพร่างกาย โรคประจำตัว ความสะดวก ค่าใช้จ่าย รวมถึงความต้องการของผู้ป่วย ดังนั้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด และปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขที่สุด

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของท่าน