HPV ตรวจซ้ําทุกกี่ปี

1 การดู

ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปควรตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 3-5 ปี เพื่อให้พบความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งรักษาได้ง่ายและหายขาด

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

HPV และการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก: ทำความเข้าใจเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ผู้หญิงหลายคนมักสับสนระหว่างการตรวจหาเชื้อ HPV และการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แม้ว่าทั้งสองอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน บทความนี้จะอธิบายความแตกต่าง และความถี่ที่แนะนำในการตรวจแต่ละประเภท โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป

เชื้อ HPV (Human Papillomavirus) เป็นไวรัสที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บางสายพันธุ์ของ HPV เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูกเสมอไป ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองในหลายๆ กรณี แต่หากติดเชื้อชนิดก่อมะเร็งในระยะยาว อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกและพัฒนาเป็นมะเร็งได้ในที่สุด

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มีหลายวิธี เช่น การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) และการตรวจหา DNA ของ HPV แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจร่วมกันทั้งสองวิธีหรือเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ประวัติทางการแพทย์ และผลการตรวจครั้งก่อนๆ

สำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป แนวทางปฏิบัติในปัจจุบันแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกดังนี้:

  • การตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับการตรวจหา DNA ของ HPV (co-testing): ทุกๆ 5 ปี
  • การตรวจหา DNA ของ HPV เพียงอย่างเดียว: ทุกๆ 5 ปี
  • การตรวจแปปสเมียร์เพียงอย่างเดียว: ทุกๆ 3 ปี (แต่ไม่แนะนำวิธีนี้เท่ากับสองวิธีข้างต้น เนื่องจากการตรวจหา DNA ของ HPV มีความไวในการตรวจพบความผิดปกติได้ดีกว่า)

ความถี่ในการตรวจซ้ำ HPV โดยทั่วไปแล้ว หากผลตรวจ HPV เป็นลบ ไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำบ่อยๆ แพทย์จะแนะนำความถี่ในการตรวจตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล แต่หากผลตรวจ HPV เป็นบวก แพทย์จะติดตามผลและตรวจซ้ำตามความเหมาะสม ซึ่งอาจจะภายใน 1-2 ปี หรืออาจแนะนำให้ตรวจแบบ colposcopy เพื่อตรวจดูปากมดลูกอย่างละเอียด

สิ่งสำคัญที่ต้องจำ: อายุ 35 ปีขึ้นไปเป็นช่วงอายุที่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น ดังนั้น การตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง

นอกจากการตรวจคัดกรองแล้ว การฉีดวัคซีน HPV ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน

สุดท้าย การดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการงดสูบบุหรี่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกด้วย.