Rh ย่อมาจากอะไรในทางการแพทย์

2 การดู

Rh ในทางการแพทย์ย่อมาจาก Rhesus factor ซึ่งเป็นโปรตีนบนผิวเม็ดเลือดแดง การมีโปรตีนนี้บ่งบอกว่าเป็น Rh positive (Rh+) ส่วนการไม่มีโปรตีนนี้คือ Rh negative (Rh-) ความรู้เรื่องหมู่เลือด Rh สำคัญในการถ่ายเลือดและการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแม่มี Rh- และลูกมี Rh+ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

Rh ในทางการแพทย์: มากกว่าแค่บวกและลบ เข้าใจให้ลึกซึ้งเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

ในโลกของการแพทย์ หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติผู้ป่วยเสมอ คือหมู่เลือด ซึ่งประกอบไปด้วยระบบ ABO และระบบ Rh (Rhesus) factor แม้ว่าระบบ ABO จะเป็นที่รู้จักกันดีกว่า แต่ Rh factor ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายเลือดและการตั้งครรภ์

Rh คืออะไรกันแน่?

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น Rh ย่อมาจาก Rhesus factor ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบอยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง บุคคลที่มีโปรตีนนี้ จะถูกจัดว่าเป็น Rh positive (Rh+) และผู้ที่ไม่มีโปรตีนนี้ จะถูกจัดว่าเป็น Rh negative (Rh-) ชื่อนี้มีที่มาจากลิง Rhesus ซึ่งเป็นสัตว์ที่โปรตีนนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก การจำแนก Rh นี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการรักษาทางการแพทย์หลายด้าน

ความสำคัญของการรู้หมู่เลือด Rh

ความรู้เรื่องหมู่เลือด Rh มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งใน:

  • การถ่ายเลือด: การถ่ายเลือดผิดหมู่เลือด Rh สามารถนำไปสู่ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันที่รุนแรง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น การตรวจหมู่เลือด Rh ของทั้งผู้ให้และผู้รับ จึงเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ก่อนการถ่ายเลือดทุกครั้ง
  • การตั้งครรภ์: นี่คือส่วนที่ Rh factor มีความสำคัญเป็นพิเศษ หากหญิงตั้งครรภ์มี Rh- และทารกในครรภ์มี Rh+ (ได้รับมาจากพ่อ) ร่างกายของแม่สามารถสร้างแอนติบอดีต่อ Rh+ ของทารกได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารกในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ภาวะนี้เรียกว่า Rh incompatibility

Rh incompatibility: ความเข้าใจที่จำเป็นสำหรับคุณแม่

ภาวะ Rh incompatibility เกิดขึ้นเมื่อ:

  1. แม่มีหมู่เลือด Rh-
  2. ลูกในครรภ์มีหมู่เลือด Rh+
  3. เม็ดเลือดแดงของทารก Rh+ หลุดรอดเข้าไปในกระแสเลือดของแม่ Rh- (อาจเกิดขึ้นระหว่างการคลอด, การแท้ง, หรือการเจาะน้ำคร่ำ)

เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ร่างกายของแม่ Rh- จะมองว่าเม็ดเลือดแดง Rh+ ของลูกเป็นสิ่งแปลกปลอม และสร้างแอนติบอดีเพื่อกำจัดมัน แอนติบอดีเหล่านี้สามารถข้ามรกและทำลายเม็ดเลือดแดงของทารกในครรภ์ได้ ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โลหิตจางในทารก (anemia), ภาวะบวมน้ำ (hydrops fetalis), หรือภาวะตัวเหลือง (jaundice) ที่รุนแรงหลังคลอด

การป้องกันและรักษา Rh incompatibility

ข่าวดีคือ ภาวะ Rh incompatibility สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีด Rh immunoglobulin (RhoGAM) ให้กับคุณแม่ Rh- ในช่วงสัปดาห์ที่ 28 ของการตั้งครรภ์ และภายใน 72 ชั่วโมงหลังคลอด RhoGAM จะป้องกันไม่ให้ร่างกายของแม่สร้างแอนติบอดีต่อ Rh+ ของลูก การฉีด RhoGAM ยังเป็นสิ่งจำเป็นหลังการแท้ง, การทำแท้ง, การเจาะน้ำคร่ำ, หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจทำให้เม็ดเลือดแดงของทารกเข้าสู่กระแสเลือดของแม่

สรุป

Rh factor เป็นมากกว่าแค่เครื่องหมายบวกหรือลบ มันเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจทางการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการถ่ายเลือดและการดูแลการตั้งครรภ์ การเข้าใจถึงความสำคัญของหมู่เลือด Rh และภาวะ Rh incompatibility จะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานร่วมกันเพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งแม่และลูก

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • หากคุณเป็นผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์และไม่ทราบหมู่เลือด Rh ของตนเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจ
  • หากคุณเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์และมีหมู่เลือด Rh- โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความจำเป็นในการฉีด RhoGAM
  • ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ