บ้านหมุนจะหายเองได้ไหม

บ้านหมุน…จะหายเองได้หรือไม่? ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับอาการเวียนศีรษะ

อาการ “บ้านหมุน” หรือเวียนศีรษะแบบหมุนติ้ว เป็นอาการที่พบได้บ่อย สร้างความรำคาญและก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการดำเนินชีวิต หลายคนสงสัยว่าอาการนี้จะหายเองได้หรือไม่ คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ

โดยทั่วไป อาการบ้านหมุนมักเกิดจากความผิดปกติของระบบเวสติบูลาร์ (Vestibular System) ซึ่งเป็นระบบในหูชั้นในที่รับผิดชอบเรื่องการทรงตัวและการประสานการเคลื่อนไหวของตาและกล้ามเนื้อ เมื่อระบบนี้ทำงานผิดปกติ สมองจะได้รับข้อมูลที่สับสน ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และเสียการทรงตัว

กรณีที่อาการอาจหายเองได้:

บางครั้ง อาการบ้านหมุนอาจเกิดจากสาเหตุเล็กน้อย เช่น การขาดน้ำ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ในกรณีเหล่านี้ อาการมักจะทุเลาลงและหายเองได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน โดยการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ

กรณีที่จำเป็นต้องพบแพทย์:

อย่างไรก็ตาม หากอาการบ้านหมุนมีสาเหตุมาจากโรคทางการแพทย์ที่รุนแรงกว่า เช่น โรคเมนิแอร์ (Ménière’s disease) เนื้องอกในสมอง หรือโรคหลอดเลือดสมอง อาการจะไม่หายเอง และอาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อาการอื่นๆ ที่ควรระวังและควรไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่:

• อาการบ้านหมุนรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
• เวียนศีรษะร่วมกับอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขา
• มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง
• มีอาการมองภาพซ้อน
• มีอาการพูดลำบากหรือพูดไม่ชัด
• สูญเสียการทรงตัวอย่างรุนแรง
• อาการเวียนศีรษะเป็นเรื้อรัง นานกว่า 2-3 วัน หรือเป็นซ้ำๆ

การรักษา:

แพทย์จะทำการวินิจฉัยสาเหตุของอาการบ้านหมุนด้วยการตรวจร่างกาย การตรวจหู และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) หรือการตรวจ MRI การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ อาจรวมถึงการใช้ยา การกายภาพบำบัด หรือการผ่าตัด ในบางกรณี การฝึกฝนการทรงตัวและการเคลื่อนไหวของดวงตา (Vestibular Rehabilitation) ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้

สรุป:

แม้ว่าอาการบ้านหมุนบางกรณีอาจหายเองได้ แต่การปล่อยปละละเลยอาจทำให้พลาดโอกาสในการรักษาโรคที่รุนแรง หากคุณประสบกับอาการบ้านหมุนอย่างรุนแรง เป็นเวลานาน หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อย่ารอให้สายเกินไป เพราะการรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล