เนื้อวัว 100 กรัมกี่แคลอรี่

พลังงานจากเนื้อสันในวัว: 100 กรัม ให้คุณค่าเท่าไหร่? ไขข้อข้องใจเรื่องแคลอรี่และคุณประโยชน์

เนื้อวัว เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่หลายคนนิยมรับประทาน โดยเฉพาะเนื้อสันในที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มและรสชาติที่อร่อย แต่หลายคนอาจสงสัยว่าเนื้อสันในวัว 100 กรัม มีแคลอรี่เท่าใด และให้คุณประโยชน์อะไรบ้าง บทความนี้จะไขข้อข้องใจเหล่านั้น พร้อมเสริมความรู้เกี่ยวกับการบริโภคเนื้อวัวอย่างเหมาะสม

โดยทั่วไปแล้ว เนื้อสันในวัว 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 210 กิโลแคลอรี่ แต่ตัวเลขนี้สามารถแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ส่วนของเนื้อที่ตัด วิธีการเลี้ยง และการปรุงอาหาร การปรุงเนื้อด้วยวิธีการทอดหรือผัดในน้ำมันปริมาณมากจะทำให้ปริมาณแคลอรี่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่การย่างหรืออบจะให้แคลอรี่ที่ต่ำกว่า

นอกจากแคลอรี่แล้ว เนื้อสันในวัว 100 กรัม ยังอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่:

• โปรตีนคุณภาพสูง: ประมาณ 26-28 กรัม เป็นแหล่งโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำคัญต่อการสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

• ไขมันต่ำ: ประมาณ 8 กรัม โดยส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน ซึ่งถือว่าเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ควรระวังการบริโภคไขมันเพิ่มเติมจากการปรุงอาหาร

• คอเลสเตอรอล: ประมาณ 70 มิลลิกรัม เป็นปริมาณที่อยู่ในระดับปานกลาง ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับคอเลสเตอรอลควรบริโภคเนื้อวัวอย่างพอเหมาะและเลือกวิธีการปรุงอาหารที่ลดปริมาณไขมัน

• ธาตุเหล็ก: สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง

• วิตามินบี 12: จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยเสริมสร้างสมองและความจำ

อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อวัวมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ ดังนั้น จึงควรบริโภคเนื้อวัวอย่างพอเหมาะและหลากหลาย ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน และควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของตนเอง

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับแคลอรี่และคุณประโยชน์ของเนื้อสันในวัว 100 กรัม ตัวเลขอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย จึงขอแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออื่นๆ เช่น ฐานข้อมูลทางโภชนาการของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น