คําว่า Pretty ใช้ยังไง

2 การดู

คำว่า pretty นอกจากความหมาย สวย น่ารัก แล้ว ยังใช้เป็นคำขยายความได้อีกด้วย เช่น pretty good หมายถึง ค่อนข้างดี หรือ pretty fast หมายถึง ค่อนข้างเร็ว การใช้ pretty ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลและไม่เป็นทางการให้กับประโยค ทำให้ฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะกับการพูดคุยทั่วไปมากกว่าภาษาเขียนทางการ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

“Pretty” มากกว่าแค่สวย: พลิกมุมใช้คำอเนกประสงค์ในภาษาอังกฤษ

คำว่า “pretty” ในภาษาอังกฤษนั้น เกินกว่าความหมายตรงๆ อย่าง “สวย” หรือ “น่ารัก” (beautiful, cute) ไปมาก มันเป็นคำที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย เสริมสร้างความหมายให้กับประโยคได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในบริบทที่ไม่เป็นทางการ

การใช้ “pretty” ในฐานะคำคุณศัพท์ที่หมายถึงความสวยงามนั้นเป็นที่เข้าใจกันดี เช่น “She’s a pretty girl.” (เธอเป็นผู้หญิงที่สวย) แต่ความสามารถของคำนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นั้น จุดเด่นสำคัญของ “pretty” คือการนำมาใช้เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) เพื่อปรับความเข้มข้นของคำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์อื่นๆ สร้างความหมายที่นุ่มนวลขึ้น และลดความแข็งกระด้างของประโยค

ลองสังเกตการใช้ “pretty” ในประโยคต่อไปนี้:

  • Pretty good: (ค่อนข้างดี) ความหมายไม่ใช่ “ดีมาก” หรือ “ดีที่สุด” แต่เป็นความดีในระดับปานกลาง มีความพอใจปนอยู่ เช่น “The movie was pretty good.” (หนังเรื่องนั้นค่อนข้างดี) ใช้แทนคำว่า “fairly good” หรือ “decent” ได้ แต่ “pretty good” จะให้ความรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า

  • Pretty fast: (ค่อนข้างเร็ว) คล้ายกับ “pretty good” มันแสดงถึงความเร็วที่มากกว่าปกติ แต่ไม่ใช่เร็วที่สุด เช่น “The car drives pretty fast.” (รถคันนี้วิ่งค่อนข้างเร็ว) ใช้แทน “relatively fast” ได้ แต่ “pretty fast” ให้ความรู้สึกสบายๆ ไม่เป็นทางการ

  • Pretty sure: (ค่อนข้างแน่ใจ) แสดงถึงระดับความมั่นใจที่ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีความเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง เช่น “I’m pretty sure he’ll come.” (ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะมา) ใช้แทน “reasonably sure” ได้ แต่ “pretty sure” ฟังดูเป็นธรรมชาติกว่า

  • Pretty late: (ค่อนข้างดึก) แสดงถึงเวลาที่เลยเวลามาบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่ดึกมากจนเกินไป เช่น “It’s pretty late, we should go home.” (ดึกมากแล้ว เราควรกลับบ้านได้แล้ว)

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า “pretty” ช่วยเพิ่มความนุ่มนวล ความไม่เป็นทางการ และความเป็นธรรมชาติให้กับประโยค ทำให้การสื่อสารดูเป็นกันเองมากขึ้น เหมาะกับการสนทนา การพูดคุยในชีวิตประจำวัน หรือการเขียนแบบไม่เป็นทางการ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ “pretty” ในงานเขียนทางวิชาการ หรือเอกสารทางราชการ เพราะอาจดูไม่เป็นมืออาชีพ

การเรียนรู้การใช้ “pretty” จึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้ความหมายคำเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้ภาษาอังกฤษให้มีความไหลลื่น และสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการความเป็นกันเอง และความไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของภาษาอังกฤษ.