Set IV ควรเปลี่ยนทุกกี่วัน

เปลี่ยน Set IV ทุกกี่วัน? คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการให้สารน้ำทางหลอดเลือด

การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (Intravenous fluid, IV) เป็นวิธีการรักษาที่สำคัญและแพร่หลาย โดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนชุดน้ำเกลือ (IV Set) นั้นจำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อและรักษาคุณภาพของการให้สารน้ำ แต่ระยะเวลาในการเปลี่ยนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ได้มีคำตอบตายตัวว่าควรเปลี่ยนทุกกี่วัน

โดยหลักการทั่วไป ควรเปลี่ยนชุดน้ำเกลือทุก 96 ชั่วโมง (4 วัน) นี่เป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่กระแสเลือด อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นบางประการที่จำเป็นต้องพิจารณา

กรณีที่ต้องเปลี่ยนบ่อยกว่า 96 ชั่วโมง:

• การใช้ Heparin lock: สำหรับชุดน้ำเกลือที่ใช้ร่วมกับเฮปาริน (Heparin lock) เพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดในสายน้ำเกลือ ควรเปลี่ยนทุก 24 ชั่วโมง เนื่องจากเฮปารินมีคุณสมบัติในการป้องกันการแข็งตัวของเลือดได้เพียงระยะเวลาจำกัด การเปลี่ยนชุดน้ำเกลือบ่อยขึ้นจึงช่วยรักษาประสิทธิภาพของการป้องกันการอุดตันของสายน้ำเกลือ

• สารน้ำชนิด Total Parenteral Nutrition (TPN): TPN เป็นสารน้ำที่ให้สารอาหารครบถ้วนทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีความเข้มข้นสูงและเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ จึงควรเปลี่ยนชุดน้ำเกลือทุก 24 ชั่วโมง หรือเมื่อขวด TPN หมด การเปลี่ยนบ่อยขึ้นช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อร้ายแรง

• หากมีอาการผิดปกติ: หากผู้ป่วยมีอาการบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น มีอาการบวมแดงหรือเจ็บปวดบริเวณจุดที่เสียบสายน้ำเกลือ หรือมีของเหลวรั่วไหลออกจากบริเวณที่เสียบสายน้ำเกลือ ควรเปลี่ยนชุดน้ำเกลือทันทีและแจ้งแพทย์หรือพยาบาล

นอกเหนือจากระยะเวลาที่กำหนด ควรตรวจสอบสภาพของชุดน้ำเกลือเป็นระยะๆ หากพบว่ามีการรั่วซึม มีคราบสกปรก หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสีหรือความใสของสารน้ำ ควรเปลี่ยนชุดน้ำเกลือโดยเร็วที่สุด

สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนชุดน้ำเกลือตามระยะเวลาที่เหมาะสมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการป้องกันการติดเชื้อ การปฏิบัติตามขั้นตอนการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง การดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่เสียบสายน้ำเกลือ และการสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเพิ่มความปลอดภัยในการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ

หมายเหตุ: บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไปเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย