ฉันจะหาไฟล์ที่ลบไปแล้วในถังขยะได้อย่างไร

กู้ชีพไฟล์หาย! คู่มือฉบับสมบูรณ์การงมหาไฟล์ที่ถูกลบใน Google Drive (ฉบับเหนือกว่าแค่ถังขยะ)

หลายครั้งที่เราพลาดพลั้ง เผลอลบไฟล์สำคัญใน Google Drive ไปอย่างไม่ตั้งใจ วินาทีนั้นอาจจะรู้สึกเหมือนโลกถล่มทลาย แต่ไม่ต้องตกใจ! Google Drive เตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ด้วยระบบที่ช่วยให้คุณมีโอกาสกู้คืนไฟล์เหล่านั้นกลับคืนมาได้

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกวิธีการกู้ไฟล์ที่ถูกลบใน Google Drive อย่างละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนพื้นฐานในถังขยะ ไปจนถึงเทคนิคขั้นสูงที่อาจช่วยกอบกู้ไฟล์ที่หายไปนานแสนนานได้!

1. จุดเริ่มต้น: ถังขยะพระเอก

แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดคือการตรวจสอบ ถังขยะ ใน Google Drive ของคุณ ดังที่คุณทราบแล้วว่าไฟล์ที่ถูกลบจะถูกส่งไปยังถังขยะก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งจะถูกเก็บไว้เป็นเวลา 30 วัน

• วิธีค้นหา: มองหาเมนู “ถังขยะ” (Trash) ทางด้านซ้ายของหน้าจอ Google Drive
• วิธีค้นหาไฟล์:
  • เลื่อนดู: ค่อยๆ ไล่ดูทีละไฟล์
  • ค้นหาตามชื่อ: พิมพ์ชื่อไฟล์ (ถ้าจำได้) ในช่องค้นหาด้านบน
  • เรียงลำดับ: เรียงลำดับตามวันที่ลบ (Deleted date) เพื่อหาไฟล์ที่เพิ่งลบไป
• วิธีกู้คืน: คลิกขวาที่ไฟล์ที่ต้องการแล้วเลือก “กู้คืน” (Restore) ไฟล์จะกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่

2. กู้ชีพขั้นสูง: เมื่อถังขยะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

แม้ว่าถังขยะจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่บางครั้งไฟล์อาจไม่ได้อยู่ในถังขยะด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น:

• ถูกลบถาวร: คุณอาจเผลอลบไฟล์ออกจากถังขยะไปแล้ว
• ระยะเวลาเกิน 30 วัน: ไฟล์อยู่ในถังขยะนานเกิน 30 วัน ทำให้ Google Drive ลบไฟล์นั้นออกไปอย่างถาวร
• การลบโดยผู้ดูแลระบบ (สำหรับบัญชีองค์กร): ผู้ดูแลระบบอาจตั้งค่าการลบไฟล์ที่แตกต่างกัน

ถ้าเจอสถานการณ์เหล่านี้ อย่าเพิ่งหมดหวัง! ยังมีวิธีอื่นที่คุณสามารถลองทำได้:

2.1 ตรวจสอบประวัติเวอร์ชัน (Version History)

คุณสมบัติที่หลายคนมองข้ามคือ ประวัติเวอร์ชัน ของไฟล์ Google Docs, Sheets, และ Slides ซึ่ง Google Drive จะบันทึกการแก้ไขไฟล์เหล่านี้ไว้เป็นระยะ ทำให้คุณสามารถย้อนกลับไปใช้เวอร์ชันก่อนหน้าได้

• วิธีใช้:
  • เปิดไฟล์ที่ต้องการ (Docs, Sheets, Slides)
  • คลิกที่ “ไฟล์” (File) > “ประวัติเวอร์ชัน” (Version history) > “ดูประวัติเวอร์ชัน” (See version history)
  • เลือกเวอร์ชันที่คุณต้องการกู้คืน แล้วคลิก “กู้คืนเวอร์ชันนี้” (Restore this version)

2.2 ติดต่อผู้ดูแลระบบ (สำหรับบัญชีองค์กร)

หากคุณใช้ Google Drive ในบัญชีขององค์กร (เช่น โรงเรียน หรือ บริษัท) ผู้ดูแลระบบอาจมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำรอง (Backup) หรือมีเครื่องมือพิเศษที่สามารถกู้คืนไฟล์ที่ถูกลบได้ ลองติดต่อผู้ดูแลระบบเพื่อขอความช่วยเหลือ

2.3 ใช้ Google Vault (สำหรับบัญชีองค์กร)

Google Vault เป็นเครื่องมือสำหรับเก็บรักษาข้อมูล (Information governance) และการค้นหาทางอิเล็กทรอนิกส์ (eDiscovery) ที่มีเฉพาะในบางแพ็กเกจ Google Workspace ผู้ดูแลระบบสามารถใช้ Google Vault เพื่อกู้คืนไฟล์ที่ถูกลบได้ แม้ว่าจะเกินระยะเวลาที่ Google Drive กำหนดไว้แล้ว

2.4 ติดต่อฝ่ายสนับสนุนของ Google Drive

หากลองทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ลองติดต่อฝ่ายสนับสนุนของ Google Drive โดยตรง อธิบายปัญหาของคุณให้ละเอียดและให้ข้อมูลเท่าที่คุณมี อาจมีโอกาสที่ Google จะสามารถช่วยกู้คืนไฟล์ของคุณได้

3. ป้องกันดีกว่าแก้: สร้างนิสัยดีๆ เพื่อป้องกันไฟล์หาย

ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการกู้ไฟล์ที่หลากหลาย แต่การป้องกันไม่ให้ไฟล์หายตั้งแต่แรกเป็นวิธีที่ดีที่สุด! นี่คือเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณใช้งาน Google Drive ได้อย่างปลอดภัย:

• สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ Google Takeout หรือโปรแกรมสำรองข้อมูลอื่นๆ เพื่อสำรองข้อมูล Google Drive ของคุณไปยังฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก หรือบริการ Cloud อื่นๆ
• ระมัดระวังในการลบไฟล์: ก่อนที่จะลบไฟล์ใดๆ ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ต้องการไฟล์นั้นอีกต่อไป
• ใช้ระบบการจัดการไฟล์ที่ดี: สร้างโฟลเดอร์ที่ชัดเจนและตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมาย เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและจัดการไฟล์
• เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติ Google Drive: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติที่ Google Drive มีให้ เช่น ประวัติเวอร์ชัน, การแชร์ไฟล์, และการตั้งค่าสิทธิ์ เพื่อใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การกู้คืนไฟล์ที่ถูกลบใน Google Drive ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสมอไป! ลองทำตามขั้นตอนที่แนะนำในบทความนี้ ตั้งแต่การตรวจสอบถังขยะ ไปจนถึงการติดต่อผู้ดูแลระบบ หรือฝ่ายสนับสนุนของ Google Drive หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณกู้คืนไฟล์สำคัญของคุณกลับคืนมาได้สำเร็จ! จำไว้ว่าการป้องกันดีกว่าแก้ ดังนั้นอย่าลืมสร้างนิสัยดีๆ ในการใช้งาน Google Drive เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไฟล์หายในอนาคต

#คืนค่า#ถังขยะ#ไฟล์ลบ