ฟิล์มแบบไหนกันจอแตก

เลือกฟิล์มกันรอยแบบไหนดี? ไฮโดรเจล หรือ กระจกนิรภัย? ปกป้องหน้าจอแตกได้จริงหรือ?

สมาร์ทโฟนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ไปแล้วสำหรับใครหลายคน การดูแลรักษาหน้าจอให้ปราศจากรอยขีดข่วนหรือการแตกหักจึงเป็นเรื่องสำคัญ ฟิล์มกันรอยจึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง แต่ฟิล์มกันรอยก็มีหลายประเภท แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบบไหนเหมาะกับเรา? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกข้อดีข้อเสียของฟิล์มกันรอยยอดนิยม 2 ประเภท คือ ฟิล์มไฮโดรเจล และ ฟิล์มกระจกนิรภัย เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้อย่างตรงใจและคุ้มค่าที่สุด

ฟิล์มไฮโดรเจล (Hydrogel Film): บางเฉียบ รีดรอยได้

ฟิล์มไฮโดรเจลผลิตจากวัสดุ TPU ที่มีความยืดหยุ่นสูง บางเฉียบ และมีความสามารถในการซ่อมแซมรอยขีดข่วนเล็กๆ ได้เอง ให้สัมผัสที่ลื่นไหล ใช้งานหน้าจอสัมผัสได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความสวยงามของหน้าจอ และไม่ชอบฟิล์มหนาๆ

• ข้อดี: บางเฉียบ, ติดตั้งง่าย, รีดรอยขีดข่วนเล็กๆ ได้เอง, สัมผัสลื่นไหล, ราคาค่อนข้างประหยัด
• ข้อเสีย: ป้องกันแรงกระแทกได้น้อยกว่าฟิล์มกระจก, รอยขีดข่วนลึกอาจไม่สามารถซ่อมแซมได้, อาจเหลืองเร็วกว่าฟิล์มกระจกหากโดนแสงแดดจัดเป็นเวลานาน

ฟิล์มกระจกนิรภัย (Tempered Glass): แข็งแกร่ง ทนทาน

ฟิล์มกระจกนิรภัยผลิตจากกระจกที่ผ่านกระบวนการทางเคมี ทำให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดีกว่าฟิล์มไฮโดรเจล สามารถป้องกันหน้าจอแตกได้ในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการกระแทกหรือรอยขีดข่วน

• ข้อดี: ทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดี, ป้องกันหน้าจอแตกได้, อายุการใช้งานยาวนานกว่า
• ข้อเสีย: หนากว่าฟิล์มไฮโดรเจล, ราคาสูงกว่า, หากแตกอาจมีเศษกระจก

สรุป: การเลือกฟิล์มกันรอยขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละบุคคล หากต้องการความบางเบา สัมผัสลื่นไหล และเน้นการปกป้องรอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ ฟิล์มไฮโดรเจลเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการความทนทาน ป้องกันแรงกระแทก และลดความเสี่ยงหน้าจอแตก ฟิล์มกระจกนิรภัยคือคำตอบ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกซื้อฟิล์มกันรอยจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการปกป้องหน้าจอสมาร์ทโฟนของคุณ