รหัสผ่านของฉัน Google ดูยังไง

รหัสผ่าน Google ของฉัน: Google “เห็น” มันอย่างไร และเราควรจัดการอย่างไรให้ปลอดภัย?

หลายคนคงเคยประสบปัญหา “ลืมรหัสผ่าน” โดยเฉพาะรหัสผ่านสำหรับบัญชี Google ที่เราใช้งานสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่ Gmail, YouTube, Google Drive ไปจนถึงแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่างๆ ที่ผูกบัญชีไว้ แต่เคยสงสัยไหมว่า Google จัดการและ “เห็น” รหัสผ่านของเราอย่างไร? และเราควรจัดการรหัสผ่านเหล่านี้อย่างไรให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่นับวันยิ่งซับซ้อน?

Google “เห็น” รหัสผ่านของเราอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ Google ไม่ได้ “เห็น” รหัสผ่านของเราในรูปแบบข้อความธรรมดา (Plain Text) ที่สามารถอ่านได้ง่ายๆ หากเป็นเช่นนั้น การถูกแฮ็กข้อมูลจะส่งผลร้ายแรงอย่างมาก Google ใช้เทคนิคที่เรียกว่า “การแฮช” (Hashing) ร่วมกับการใส่ “เกลือ” (Salting) เพื่อรักษาความปลอดภัยของรหัสผ่าน

• การแฮช: เป็นกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่แปลงรหัสผ่านของเราให้เป็นชุดตัวอักษรและตัวเลขที่มีความยาวคงที่ (Hash Value) ซึ่งไม่สามารถแปลงกลับเป็นรหัสผ่านเดิมได้ง่ายๆ (One-Way Function) เปรียบเสมือนการบดขยี้ข้อมูลให้เป็นผุยผงที่ไม่สามารถประกอบกลับเป็นรูปเดิมได้
• การใส่เกลือ: คือการเพิ่มข้อมูลแบบสุ่ม (Salt) เข้าไปในรหัสผ่านก่อนทำการแฮช เพื่อให้รหัสผ่านเดียวกันมี Hash Value ที่แตกต่างกัน ทำให้การถอดรหัสผ่านยากยิ่งขึ้น เพราะแฮกเกอร์ไม่สามารถใช้ฐานข้อมูล Hash Value สำเร็จรูป (Rainbow Table) มาเทียบเพื่อหารหัสผ่านของเราได้

ดังนั้น เมื่อเราป้อนรหัสผ่าน Google จะทำการแฮชและใส่เกลือรหัสผ่านนั้น แล้วนำ Hash Value ที่ได้ไปเทียบกับ Hash Value ที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล หากตรงกัน แสดงว่ารหัสผ่านถูกต้อง แต่ Google ไม่เคย “เห็น” รหัสผ่านเดิมของเราเลย

จัดการรหัสผ่าน Google ของฉันให้ปลอดภัยได้อย่างไร?

ถึงแม้ Google จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง เราก็ควรมีส่วนร่วมในการดูแลรักษารหัสผ่านของเราให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยวิธีต่อไปนี้:

• ใช้รหัสผ่านที่คาดเดายาก: รหัสผ่านที่ดีควรยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ผสมกัน หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลส่วนตัวที่คาดเดาได้ง่าย เช่น วันเกิด ชื่อสัตว์เลี้ยง หรือเบอร์โทรศัพท์
• ใช้รหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกัน: รหัสผ่านสำหรับบัญชี Google ไม่ควรเหมือนกับรหัสผ่านของบัญชีอื่นๆ หากบัญชีหนึ่งถูกแฮ็ก บัญชีอื่นๆ ของคุณก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงไปด้วย
• เปิดใช้งานการยืนยันแบบสองขั้นตอน (2-Step Verification): เพิ่มชั้นความปลอดภัยอีกขั้นด้วยการยืนยันตัวตนผ่านอุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์มือถือ แม้ว่าแฮกเกอร์จะรู้รหัสผ่านของคุณ ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้หากไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้ยืนยัน
• ตรวจสอบและจัดการรหัสผ่านที่บันทึกไว้: เข้าไปที่ passwords.google.com เพื่อตรวจสอบรหัสผ่านที่บันทึกไว้เป็นประจำ เปลี่ยนรหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย หรือลบรหัสผ่านที่ไม่จำเป็นออก
• ระมัดระวัง Phishing: อย่าหลงเชื่ออีเมลหรือข้อความที่น่าสงสัยที่ขอให้คุณป้อนรหัสผ่าน ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์ให้ดีก่อนที่จะกรอกข้อมูลส่วนตัว

Passwords.google.com: เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ Google มีให้

Google มีเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) ที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย ช่วยให้เราสร้าง จัดเก็บ และจัดการรหัสผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• สร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง: Password Manager สามารถช่วยสร้างรหัสผ่านที่คาดเดายากสำหรับแต่ละเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
• บันทึกรหัสผ่านอัตโนมัติ: เมื่อเราลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันใหม่ Password Manager จะเสนอให้บันทึกรหัสผ่าน ทำให้เราไม่ต้องจำรหัสผ่านมากมาย
• เติมรหัสผ่านอัตโนมัติ: เมื่อเราเข้าสู่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่เคยบันทึกรหัสผ่านไว้ Password Manager จะเติมรหัสผ่านให้โดยอัตโนมัติ ทำให้สะดวกและรวดเร็ว
• เข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์: รหัสผ่านที่บันทึกไว้ใน Password Manager สามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ที่เราลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google

สรุป

รหัสผ่าน Google ของเราได้รับการปกป้องด้วยเทคนิคการเข้ารหัสที่ซับซ้อน แต่เราก็มีหน้าที่ในการดูแลรักษารหัสผ่านของเราให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการใช้รหัสผ่านที่คาดเดายาก เปิดใช้งานการยืนยันแบบสองขั้นตอน และใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านของ Google ให้เป็นประโยชน์ การทำเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กบัญชีและปกป้องข้อมูลส่วนตัวของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ