วิธีดูว่าเว็บไหนปลอดภัย

6 การดู

ตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์โดยใช้เครื่องมือในตัวของเบราว์เซอร์ จากนั้นค้นหาการแจ้งเตือนหรือข้อความเกี่ยวกับความปลอดภัยในแถบที่อยู่หรือแถบสถานะ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

มั่นใจก่อนคลิก: คู่มือพิชิตความปลอดภัยเว็บไซต์ฉบับเริ่มต้น

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลคือขุมทรัพย์ การท่องโลกออนไลน์จึงเปรียบเสมือนการเดินในป่ารกชัฏที่มีทั้งดอกไม้สวยงามและสัตว์ร้ายซ่อนตัวอยู่ การแยกแยะเว็บไซต์ที่ปลอดภัยออกจากเว็บไซต์อันตรายจึงเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนต้องมี เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

บทความนี้ไม่ได้มุ่งเน้นการใช้เครื่องมือภายนอก แต่จะเน้นการใช้เครื่องมือภายในเบราว์เซอร์ของคุณเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์เบื้องต้น ก่อนที่จะดำดิ่งสู่รายละเอียด เรามาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่า “เว็บไซต์ที่ปลอดภัย” หมายถึงอะไร

เว็บไซต์ที่ปลอดภัย: มากกว่าแค่ “https”

เว็บไซต์ที่ปลอดภัยไม่ใช่แค่เว็บไซต์ที่มี “https” นำหน้า URL แม้ว่า “https” จะบ่งบอกว่าการเชื่อมต่อระหว่างเบราว์เซอร์ของคุณกับเว็บไซต์นั้นมีการเข้ารหัส (encrypt) ทำให้ข้อมูลที่ส่งผ่านไปมามีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นั้นจะน่าเชื่อถือเสมอไป เว็บไซต์หลอกลวง (phishing) หรือเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จก็สามารถใช้ “https” ได้เช่นกัน

ดังนั้น การตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์จึงต้องอาศัยการสังเกตและพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน

อาวุธลับในมือ: เครื่องมือภายในเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้ท่องอินเทอร์เน็ตทุกวันนั้น แท้จริงแล้วมีเครื่องมือตรวจสอบความปลอดภัยเบื้องต้นซ่อนอยู่ เพียงแค่คุณรู้วิธีใช้งาน

1. มองหา “กุญแจ” หรือ “แม่กุญแจ” ในแถบที่อยู่:

  • กุญแจสีเขียว/แม่กุญแจสีเขียว: (ขึ้นอยู่กับเบราว์เซอร์) โดยทั่วไปหมายถึงเว็บไซต์นั้นใช้โปรโตคอล HTTPS และได้รับการรับรองความถูกต้องจาก Certificate Authority (CA) ที่น่าเชื่อถือ คลิกที่สัญลักษณ์นั้นเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ใบรับรอง (certificate) ของเว็บไซต์
  • แม่กุญแจสีเทา: อาจหมายถึงเว็บไซต์นั้นใช้ HTTPS แต่ใบรับรองอาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างสมบูรณ์ หรือมีเนื้อหาบางส่วนบนหน้าเว็บที่ไม่ได้เข้ารหัส (เช่น รูปภาพที่มาจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย) ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • “ไม่ปลอดภัย” หรือ “Not Secure”: สัญญาณเตือนภัย! เว็บไซต์นี้ไม่ได้ใช้ HTTPS หรือมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่นๆ ไม่ควรป้อนข้อมูลส่วนตัวใดๆ ลงบนเว็บไซต์นี้

2. อ่านคำเตือนและข้อความแจ้งเตือนอย่างละเอียด:

เบราว์เซอร์มักจะแสดงข้อความเตือนเมื่อพบความผิดปกติ เช่น

  • “การเชื่อมต่อของคุณไม่เป็นส่วนตัว” หรือ “Your connection is not private”: บ่งชี้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับใบรับรองของเว็บไซต์ อาจเป็นไปได้ว่ามีคนพยายามดักฟังข้อมูลของคุณ
  • “เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตราย” หรือ “This site may be harmful”: เบราว์เซอร์ตรวจพบว่าเว็บไซต์นี้อาจมีมัลแวร์หรือพยายามหลอกลวงผู้ใช้งาน

3. ตรวจสอบ URL ให้ถี่ถ้วน:

  • สะกดผิด: เว็บไซต์หลอกลวงมักจะใช้ชื่อโดเมนที่สะกดผิดเล็กน้อยจากเว็บไซต์จริง เช่น “Faceboook” แทน “Facebook”
  • URL แปลกๆ: หาก URL ดูไม่คุ้นเคยหรือไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ ควรระมัดระวัง

เหนือกว่าการสังเกต: เพิ่มความมั่นใจด้วยสามัญสำนึก

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือในเบราว์เซอร์แล้ว การใช้สามัญสำนึกก็เป็นสิ่งสำคัญ

  • เชื่อใจสัญชาตญาณ: หากรู้สึกไม่สบายใจกับเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง จงออกจากเว็บไซต์นั้นทันที
  • ระมัดระวังเกี่ยวกับลิงก์: อย่าคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น อีเมลขยะ หรือข้อความที่น่าสงสัย
  • อัปเดตเบราว์เซอร์เป็นประจำ: การอัปเดตเบราว์เซอร์จะช่วยให้คุณได้รับการป้องกันล่าสุดจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
  • อย่าป้อนข้อมูลส่วนตัวโดยไม่จำเป็น: พิจารณาให้รอบคอบก่อนป้อนข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หมายเลขบัตรเครดิต หรือหมายเลขประกันสังคม

สรุป

การตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงแค่คุณรู้จักสังเกต รู้จักใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในมือ และที่สำคัญที่สุดคือ การมีสติและใช้สามัญสำนึก การท่องโลกออนไลน์ก็จะเป็นประสบการณ์ที่ปลอดภัยและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น