โทรศัพท์หน้าจอค้างทํายังไง

2 การดู

หากโทรศัพท์ค้าง ลองรีสตาร์ทเครื่องก่อน หากยังไม่หาย ให้ลองลบแอปที่เพิ่งติดตั้งล่าสุดออกทีละแอป แล้วรีสตาร์ทเครื่องทุกครั้งหลังลบ เพื่อดูว่าแอปใดเป็นสาเหตุ เมื่อพบแอปปัญหาแล้ว ค่อยติดตั้งแอปอื่นๆ กลับเข้าไปใหม่

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โทรศัพท์หน้าจอค้าง: คู่มือแก้ไขฉบับเข้าใจง่าย ทำเองได้ ไม่ต้องง้อช่าง!

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอสถานการณ์ชวนปวดหัวที่โทรศัพท์มือถือสุดรักดันเกิดอาการ “ค้าง” หน้าจอ ทำอะไรก็ไม่ได้ กดปุ่มอะไรก็ไม่ตอบสนอง ราวกับว่ามันกำลังประท้วงอะไรบางอย่างอยู่! อย่าเพิ่งหัวเสียไปครับ สถานการณ์นี้สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้ รับรองว่าโทรศัพท์ของคุณจะกลับมาใช้งานได้ปกติภายในเวลาไม่นาน

ทำไมโทรศัพท์ถึงค้าง?

ก่อนที่เราจะไปถึงวิธีการแก้ไข เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์ของเราเกิดอาการค้าง สาเหตุหลักๆ มักมาจาก:

  • แอปพลิเคชันมีปัญหา: แอปพลิเคชันบางตัวอาจมีข้อผิดพลาด (bug) หรือไม่ได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับระบบปฏิบัติการปัจจุบัน ทำให้เกิดการกินทรัพยากรเครื่องมากเกินไป จนนำไปสู่อาการค้าง
  • หน่วยความจำเต็ม: โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ มักมีหน่วยความจำเยอะ แต่ถ้าเราใช้งานหนัก ติดตั้งแอปพลิเคชันเยอะ เก็บรูปภาพวิดีโอจำนวนมาก ก็อาจทำให้หน่วยความจำเต็ม จนเครื่องประมวลผลช้าลงและเกิดอาการค้างได้
  • ระบบปฏิบัติการมีปัญหา: บางครั้งปัญหาอาจเกิดจากระบบปฏิบัติการ (Android หรือ iOS) เอง อาจเป็นเพราะระบบเก่าเกินไป หรือมีไฟล์ระบบเสียหาย
  • ฮาร์ดแวร์มีปัญหา: กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้น้อย แต่หากโทรศัพท์มีอายุการใช้งานนาน หรือเคยตกกระแทก อาจทำให้ฮาร์ดแวร์ภายในเกิดความเสียหาย และส่งผลให้เครื่องค้างได้

เมื่อโทรศัพท์ค้าง… เริ่มต้นแก้ไขอย่างไร?

  1. ใจเย็นๆ ก่อน!: สิ่งแรกที่ควรทำคือตั้งสติ อย่าเพิ่งกดปุ่มรัวๆ เพราะอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้

  2. ลองบังคับรีสตาร์ท: วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดในหลายกรณี วิธีการบังคับรีสตาร์ทจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นของโทรศัพท์ ลองค้นหาใน Google ด้วยคำว่า “วิธีบังคับรีสตาร์ท [รุ่นโทรศัพท์ของคุณ]” ตัวอย่างเช่น “วิธีบังคับรีสตาร์ท Samsung Galaxy S23”

  3. หากรีสตาร์ทไม่ได้ผล: ลองกดปุ่มเปิด/ปิดเครื่องค้างไว้นานๆ (ประมาณ 10-20 วินาที) โทรศัพท์ส่วนใหญ่จะบังคับปิดเครื่องให้เอง

หลังจากรีสตาร์ทแล้วยังค้างอีก… ทำอย่างไรดี?

หลังจากรีสตาร์ทแล้ว ถ้าโทรศัพท์ยังคงมีอาการค้างอยู่ ให้ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างใจเย็น:

  1. ตรวจสอบแอปพลิเคชันที่เพิ่งติดตั้ง: แอปพลิเคชันที่เราเพิ่งติดตั้งเข้าไป อาจเป็นตัวการทำให้เครื่องค้างได้ ลองลบแอปพลิเคชันเหล่านั้นออกทีละแอป แล้วรีสตาร์ทเครื่องทุกครั้งหลังลบ เพื่อดูว่าแอปพลิเคชันใดเป็นสาเหตุ

  2. เคลียร์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: ตรวจสอบว่าหน่วยความจำของโทรศัพท์เหลือน้อยเกินไปหรือไม่ ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออก เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ค่อยได้ใช้ นอกจากนี้ ลองเคลียร์แคช (cache) ของแอปพลิเคชันต่างๆ เพราะแคชที่สะสมไว้นานๆ อาจทำให้เครื่องทำงานช้าลงได้

  3. อัปเดตระบบปฏิบัติการ: ตรวจสอบว่าโทรศัพท์ของคุณมีระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่หรือไม่ หากมี ให้อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด เพราะการอัปเดตมักจะมาพร้อมกับการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่อง

  4. รีเซ็ตเป็นค่าโรงงาน: หากลองทุกวิธีแล้วยังไม่หาย วิธีสุดท้ายคือการรีเซ็ตโทรศัพท์เป็นค่าโรงงาน (Factory Reset) ข้อควรระวัง: วิธีนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์ของคุณ ดังนั้น อย่าลืมสำรองข้อมูลสำคัญไว้ก่อน

ป้องกันไม่ให้โทรศัพท์ค้าง:

  • อัปเดตแอปพลิเคชันสม่ำเสมอ: การอัปเดตแอปพลิเคชันจะช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดและปรับปรุงประสิทธิภาพ
  • อย่าติดตั้งแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ: แอปพลิเคชันที่ไม่ได้มาจาก Google Play Store หรือ App Store อาจมีไวรัสหรือมัลแวร์
  • ปิดแอปพลิเคชันที่ไม่ใช้งาน: การเปิดแอปพลิเคชันทิ้งไว้จำนวนมาก จะทำให้เครื่องทำงานหนัก
  • เคลียร์แคชและข้อมูลที่ไม่จำเป็น: การเคลียร์แคชและข้อมูลที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้น

สรุป:

อาการโทรศัพท์ค้างเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่ส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง โดยการลองรีสตาร์ทเครื่อง ลบแอปพลิเคชันที่มีปัญหา เคลียร์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรืออัปเดตระบบปฏิบัติการ หากทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้วยังไม่หาย อาจต้องพึ่งวิธีการสุดท้ายคือการรีเซ็ตเป็นค่าโรงงาน แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้น อย่าลืมสำรองข้อมูลสำคัญของคุณไว้ก่อนนะครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ค้างได้ด้วยตัวเองนะครับ!