Thermocouple กับ RTD ต่างกันอย่างไร

การวัดอุณหภูมิที่แตกต่าง: เทอร์โมคัปเปิล กับ RTD

ในการใช้งานด้านอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ การวัดอุณหภูมิอย่างแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เทอร์โมคัปเปิลและ RTD เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิสองประเภทที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ทำให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย

เทอร์โมคัปเปิล:

• หลักการทำงาน: อาศัยปรากฏการณ์ Seebeck effect ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อโลหะสองชนิดที่ต่างกันถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงจรและมีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างจุดเชื่อมต่อทั้งสอง แรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะแปรผันตามความแตกต่างของอุณหภูมิ
• ข้อดี:
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง: สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้ถึง 2,320 °C ทนต่อการสั่นสะเทือนและแรงกระแทกได้ดี
  • ตอบสนองรวดเร็ว: เนื่องจากมีขนาดเล็กและมีมวลน้อย จึงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็ว
  • ราคาไม่แพง: เมื่อเทียบกับ RTD
• ข้อเสีย:
  • ความแม่นยำต่ำกว่า RTD: มีความแม่นยำประมาณ ±0.5°C ถึง ±2°C
  • ต้องการวงจรชดเชยอุณหภูมิเย็น: เพื่อชดเชยอุณหภูมิที่จุดเชื่อมต่ออ้างอิง

RTD (Resistance Temperature Detector):

• หลักการทำงาน: อาศัยหลักการที่ว่าความต้านทานไฟฟ้าของโลหะจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิ
• ข้อดี:
  • ความแม่นยำสูง: มีความแม่นยำสูงถึง ±0.05°C
  • เสถียรภาพในระยะยาว: ให้ค่าที่สอดคล้องกันเมื่อเวลาผ่านไป
  • ไม่ต้องการวงจรชดเชยอุณหภูมิเย็น:
• ข้อเสีย:
  • ช่วงอุณหภูมิที่ใช้งานได้จำกัด: ส่วนใหญ่มักใช้งานในช่วงอุณหภูมิ -200 °C ถึง 500 °C
  • ตอบสนองช้ากว่าเทอร์โมคัปเปิล: เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่า
  • ราคาแพงกว่าเทอร์โมคัปเปิล:

สรุป:

การเลือกใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิระหว่างเทอร์โมคัปเปิลและ RTD ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของงาน ตัวอย่างเช่น:

• เทอร์โมคัปเปิล: เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการการวัดอุณหภูมิสูง เช่น เตาหลอมโลหะ การเผาไหม้ในเตาเผา และกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีอุณหภูมิสูง
• RTD: เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การตรวจสอบอุณหภูมิในห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และกระบวนการผลิตอาหาร

การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเทอร์โมคัปเปิลและ RTD จะช่วยให้คุณสามารถเลือกเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ