การดูแลทารกที่ใส่สาย PICC line มีอะไรบ้าง

2 การดู

การดูแลทารกสาย PICC เน้นความสะอาดบริเวณสายและจุดเจาะ ตรวจสอบสายอย่างสม่ำเสมอว่าไม่มีการหลุดหรือบวมแดง หมั่นสังเกตอาการติดเชื้อ เช่น ไข้สูงหรือบวมแดงรอบๆ บริเวณจุดเจาะ หลีกเลี่ยงการดึงหรือกระตุกสาย รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังโดยรอบ และบันทึกข้อมูลการดูแลอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยของทารก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

การดูแลทารกน้อยที่มีสาย PICC Line: คู่มือฉบับเข้าใจง่ายเพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี

การมีสาย PICC Line หรือสายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลาย (Peripherally Inserted Central Catheter) ในทารกน้อยอาจเป็นเรื่องที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านกังวลใจ แต่ด้วยความเข้าใจและการดูแลที่ถูกต้อง ก็จะสามารถช่วยให้ทารกได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้

บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลและแนวทางการดูแลทารกที่มีสาย PICC Line ที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างมั่นใจ

หัวใจสำคัญของการดูแลสาย PICC Line ในทารก:

หลักการพื้นฐานของการดูแลสาย PICC Line ในทารกคือการป้องกันการติดเชื้อ รักษาความสะอาดบริเวณสาย และสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยมีรายละเอียดดังนี้:

1. ความสะอาดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง:

  • มือสะอาดเสมอ: ก่อนสัมผัสบริเวณสาย PICC Line หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสาย ต้องล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์อย่างทั่วถึง
  • การทำความสะอาดบริเวณจุดเจาะ: ทำความสะอาดบริเวณจุดเจาะสาย PICC Line ตามคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาล โดยทั่วไปจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม เช่น Chlorhexidine หรือ Povidone-iodine ทำความสะอาดบริเวณรอบๆ จุดเจาะเป็นวงกว้าง แล้วปล่อยให้แห้งสนิทก่อนปิดทับด้วยผ้าก๊อซปลอดเชื้อ
  • การเปลี่ยนผ้าก๊อซ: เปลี่ยนผ้าก๊อซปิดแผลตามกำหนด หรือเมื่อผ้าก๊อซเปียกชื้น สกปรก หรือหลุดลุ่ย

2. สังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด:

  • สังเกตบริเวณจุดเจาะ: มองหาอาการบวมแดง ร้อน กดเจ็บ มีหนอง หรือมีเลือดซึมออกจากบริเวณจุดเจาะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • สังเกตอาการของทารก: สังเกตอาการของทารก เช่น ไข้สูง ซึม ร้องกวนผิดปกติ หรือทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในกระแสเลือด
  • สังเกตความผิดปกติของสาย: สังเกตว่าสาย PICC Line มีการหลุดเลื่อน พับงอ หรืออุดตันหรือไม่

3. ป้องกันการดึงรั้งและรักษาความปลอดภัยของสาย:

  • ตรึงสายให้แน่น: ตรึงสาย PICC Line ให้แน่นกับผิวหนังของทารก โดยใช้แผ่นตรึงสาย (StatLock) หรือเทปทางการแพทย์ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการหลุดเลื่อน
  • ปกป้องสายขณะเคลื่อนย้าย: ระมัดระวังเป็นพิเศษขณะเคลื่อนย้ายทารก หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อป้องกันการดึงรั้งสายโดยไม่ตั้งใจ
  • หลีกเลี่ยงการดึงรั้ง: พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้ทารกดึงรั้งสาย เช่น การเล่นของเล่นใกล้สาย หรือการปล่อยให้ทารกเอื้อมมือไปจับสาย

4. ดูแลผิวหนังบริเวณรอบๆ สาย:

  • รักษาความชุ่มชื้น: ทาโลชั่นที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ บริเวณผิวหนังรอบๆ สาย PICC Line เพื่อป้องกันผิวแห้งแตก
  • หลีกเลี่ยงความอับชื้น: ดูแลให้บริเวณรอบๆ สาย PICC Line แห้งสะอาด เพื่อป้องกันการเกิดผื่นผ้าอ้อม หรือการหมักหมมของเชื้อโรค

5. บันทึกข้อมูลการดูแลอย่างละเอียด:

  • บันทึกวันที่และเวลา: บันทึกวันที่และเวลาที่ทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าก๊อซ หรือสังเกตอาการผิดปกติ
  • บันทึกข้อมูลการดูแลอื่นๆ: บันทึกข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ชนิดและปริมาณของน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาด หรืออาการที่พบ

ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • ห้ามดึงสายเอง: ห้ามดึงสาย PICC Line ออกเองโดยเด็ดขาด หากสงสัยว่าสายหลุดเลื่อน หรือมีปัญหาใดๆ ให้รีบปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลทันที
  • ห้ามใช้กรรไกรตัดสาย: ห้ามใช้กรรไกรตัดสาย PICC Line เอง เพราะอาจทำให้สายเสียหาย หรือเกิดการติดเชื้อได้
  • ห้ามแช่น้ำ: หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ หรือว่ายน้ำ ขณะที่มีสาย PICC Line เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ปรึกษาทีมแพทย์และพยาบาล: สอบถามข้อมูลและวิธีการดูแลสาย PICC Line ที่ถูกต้องจากทีมแพทย์และพยาบาลที่ดูแลทารก
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน: เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยที่มีสาย PICC Line เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่น
  • อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ: หากมีข้อสงสัย หรือต้องการความช่วยเหลือในการดูแลสาย PICC Line อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ พยาบาล หรือผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลทารกที่มีสาย PICC Line อาจดูเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ด้วยความใส่ใจ ความเข้าใจ และการปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง คุณพ่อคุณแม่ก็จะสามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างปลอดภัย และช่วยให้ทารกได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหายดี

Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อใช้ในการวินิจฉัย หรือรักษาโรคใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเสมอ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำทางการแพทย์