คนตั้งครรภ์ต้องการสารอาหารประเภทใดมากที่สุด

1 การดู

บำรุงครรภ์อย่างครบถ้วนด้วยโปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน โคลีน และ DHA สารอาหารเหล่านี้เสริมสร้างพัฒนาการสมองและระบบประสาทลูกน้อย พร้อมบำรุงสุขภาพคุณแม่ให้แข็งแรงตลอดการตั้งครรภ์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

สารอาหารสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิงที่ต้องการการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน คุณแม่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งความต้องการของตัวเองและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ สารอาหารที่สำคัญเป็นพิเศษสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่

1. โปรตีน

โปรตีนเป็นสารอาหารพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการสร้างและซ่อมแซมเซลต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งการสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะของทารก โปรตีนที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างตั้งครรภ์คือ 70-80 กรัมต่อวัน ซึ่งสามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนม

2. ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กมีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังทารก ธาตุเหล็กที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างตั้งครรภ์คือ 27 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถพบได้ในเนื้อแดง หอยทะเล ถั่ว และผักใบเขียว

3. แคลเซียม

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกและฟันของทารก รวมทั้งช่วยบำรุงสุขภาพกระดูกและฟันของแม่ แคลเซียมที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างตั้งครรภ์คือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และถั่วเหลือง

4. ไอโอดีน

ไอโอดีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก ไอโอดีนที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างตั้งครรภ์คือ 220 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารทะเล เกลือเสริมไอโอดีน และผลิตภัณฑ์จากนม

5. โคลีน

โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับการพัฒนาสมองของทารก โคลีนที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างตั้งครรภ์คือ 450 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถพบได้ในไข่ เนื้อไก่ และถั่วเหลือง

6. DHA

DHA เป็นกรดไขมันจำเป็นที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองและดวงตาของทารก DHA ที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างตั้งครรภ์คือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารทะเล ปลาที่มีไขมันสูง และอาหารเสริม

การรับประทานอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพและการพัฒนาของทั้งแม่และทารก หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีข้อกังวลเกี่ยวกับการได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ควรปรึกษาแพทย์หรือโภชนากรเพื่อขอคำแนะนำอย่างเหมาะสม