ท้องกี่สัปดาห์ถึงจะซาวเจอ

ตรวจเจอหัวใจของลูกน้อยเมื่อไหร่? ไขข้อข้องใจเรื่องการซาวด์ตรวจครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและตื่นเต้น แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ คำถามมากมายมักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องการตรวจอัลตราซาวนด์ หลายคนสงสัยว่าต้องตั้งครรภ์กี่สัปดาห์ถึงจะเห็นลูกน้อยในอัลตราซาวนด์ได้ และการตรวจในแต่ละช่วงเวลาจะให้ข้อมูลอะไรบ้าง

ความจริงแล้ว การตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์นั้นทำได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แต่ความชัดเจนของภาพและข้อมูลที่ได้จะแตกต่างกันไปตามอายุครรภ์

ช่วงสัปดาห์ที่ 5-6: ในช่วงสัปดาห์นี้ การตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) อาจตรวจพบถุงการตั้งครรภ์ได้ แต่ตัวอ่อนอาจยังเล็กเกินไปที่จะมองเห็นได้ชัดเจน คุณหมออาจยังไม่สามารถวัดขนาดตัวอ่อนหรือประเมินอายุครรภ์ได้อย่างแม่นยำ ภาพที่ได้อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงการฝังตัวของตัวอ่อน

ช่วงสัปดาห์ที่ 6-7: นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะเริ่มตรวจพบการเต้นของหัวใจของตัวอ่อนได้ในช่วงนี้ ด้วยอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดหรืออัลตราซาวนด์ทางหน้าท้อง (Transabdominal Ultrasound) การมองเห็นการเต้นของหัวใจเป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่เป็นไปได้ด้วยดี นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถวัดขนาดตัวอ่อน และประเมินความเป็นไปได้ของการตั้งครรภ์หลายตัวได้

ช่วงสัปดาห์ที่ 11-13: ในช่วงนี้ อัลตราซาวนด์จะให้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น แพทย์สามารถวัดขนาดต่างๆ ของตัวอ่อนได้อย่างแม่นยำ ช่วยในการประเมินอายุครรภ์และกำหนดวันคลอดที่ใกล้เคียงความเป็นจริง โดยเฉพาะในกรณีที่ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ การตรวจในช่วงนี้ยังช่วยตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ของทารกในครรภ์ได้อีกด้วย ซึ่งเรียกว่า “อัลตราซาวนด์ตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์” (Anomaly Scan)

สรุป: แม้ว่าจะตรวจพบถุงการตั้งครรภ์ได้เร็วกว่า แต่การตรวจพบการเต้นของหัวใจของตัวอ่อนในช่วงสัปดาห์ที่ 6-7 จึงมักถือเป็นการยืนยันการตั้งครรภ์ที่ชัดเจนและให้ความมั่นใจกับคุณแม่ได้มากที่สุด ส่วนการตรวจในช่วงสัปดาห์ที่ 11-13 จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดช่วงเวลาการตรวจอัลตราซาวนด์ที่เหมาะสม ตามแต่ละกรณีและความเสี่ยง อย่าลืมว่า การตรวจอัลตราซาวนด์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ การปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ มีความสำคัญไม่แพ้กัน

บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง