อาการของมดลูกบีบรัดตัวมีอะไรบ้าง

2 การดู

หากรู้สึกว่าท้องแข็งเป็นพักๆ โดยเฉพาะก่อนถึงกำหนดคลอด อาจเป็นสัญญาณมดลูกบีบตัวผิดปกติ! สังเกตความถี่และความรุนแรง หากท้องแข็งนานขึ้น ถี่ขึ้น เจ็บมาก และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เลือดออกทางช่องคลอด หรือน้ำเดิน ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็ก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

สัญญาณเตือน! มดลูกบีบรัดตัว: อาการที่ต้องใส่ใจก่อนถึงกำหนดคลอด

การตั้งครรภ์เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง และหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการบีบรัดตัวของมดลูก ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติที่เตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการคลอดบุตร แต่ในบางครั้ง การบีบรัดตัวของมดลูกอาจเกิดขึ้นก่อนกำหนด หรือมีความผิดปกติที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

อาการมดลูกบีบรัดตัวปกติ vs. ผิดปกติ: สังเกตอย่างไร?

โดยทั่วไป มดลูกจะเริ่มมีการบีบรัดตัวเป็นครั้งคราวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ ซึ่งมักเรียกว่า “Braxton Hicks contractions” หรือ “การบีบตัวหลอก” ลักษณะเด่นของการบีบตัวหลอกคือ:

  • ไม่สม่ำเสมอ: ความถี่ของการบีบรัดตัวไม่คงที่ อาจเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง
  • ไม่รุนแรง: อาการไม่รุนแรง และมักจะหายไปเมื่อเปลี่ยนท่าทางหรือพักผ่อน
  • ไม่เจ็บปวด: โดยส่วนใหญ่จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก แค่อาจรู้สึกว่าท้องแข็งเป็นพักๆ

แต่เมื่อไหร่ที่ต้องกังวล? หากคุณเริ่มสังเกตอาการต่อไปนี้ นั่นอาจเป็นสัญญาณของมดลูกบีบรัดตัวที่ผิดปกติ:

  • ความถี่ที่เพิ่มขึ้น: การบีบรัดตัวเกิดขึ้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ และมีระยะเวลาที่สั้นลงระหว่างแต่ละครั้ง
  • ความรุนแรงที่มากขึ้น: อาการปวดท้องแข็งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
  • ไม่หายไป: อาการไม่ทุเลาลงแม้จะพักผ่อน หรือเปลี่ยนท่าทางแล้ว
  • อาการอื่นๆ ร่วมด้วย:
    • เลือดออกทางช่องคลอด: เลือดที่ออกมาอาจมีปริมาณน้อย หรือมากก็ได้
    • น้ำเดิน: น้ำคร่ำรั่ว หรือแตก
    • ปวดหลังอย่างรุนแรง: อาการปวดหลังที่แตกต่างจากอาการปวดหลังปกติระหว่างตั้งครรภ์
    • แรงกดลงที่บริเวณเชิงกราน: ความรู้สึกว่าลูกกำลังดันลงมา

ทำไมต้องรีบปรึกษาแพทย์?

อาการมดลูกบีบรัดตัวที่ผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของ:

  • การคลอดก่อนกำหนด: การคลอดก่อนกำหนดอาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนต่างๆ สำหรับทารก
  • ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ: เช่น รกเกาะต่ำ หรือภาวะรก detachment

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • จดบันทึก: หากคุณเริ่มรู้สึกถึงการบีบรัดตัวของมดลูก ให้จดบันทึกความถี่ ระยะเวลา และความรุนแรง เพื่อให้ง่ายต่อการแจ้งข้อมูลแก่แพทย์
  • อย่าลังเล: หากคุณไม่แน่ใจ หรือกังวลเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ หรือไปโรงพยาบาลทันที

การดูแลสุขภาพของตัวเองและลูกน้อยในครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การสังเกตอาการต่างๆ อย่างใกล้ชิด และปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย จะช่วยให้คุณและลูกน้อยปลอดภัยตลอดการตั้งครรภ์