เมนขาดกี่วันท้อง

0 การดู

ประจำเดือนมาช้ากว่า 7 วัน มีโอกาสตั้งครรภ์ หากมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบ โดยเฉพาะถ้าประจำเดือนมาปกติเสมอ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ความเครียด หรือน้ำหนักขึ้นลง ก็อาจทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน ปรึกษาแพทย์หากกังวล

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ประจำเดือนมาช้า…กี่วันถึงเรียกว่า “ขาด” และสัญญาณบ่งบอกการตั้งครรภ์

หลายคนอาจเคยประสบปัญหาประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ ทำให้เกิดความกังวลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อนหน้านี้ คำถามที่พบบ่อยคือ “ประจำเดือนขาดกี่วันถึงจะเรียกว่าขาดจริงๆ?” และ “อาการแบบไหนที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์?” บทความนี้จะมาคลายข้อสงสัยเหล่านี้ให้กระจ่าง

นิยามของการ “ขาดประจำเดือน” ที่ควรรู้

โดยทั่วไปแล้ว วงจรประจำเดือนของผู้หญิงแต่ละคนจะแตกต่างกันไป แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 28 วัน โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งก่อน ไปจนถึงวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งถัดไป ซึ่งช่วงเวลาปกติอาจอยู่ที่ 21-35 วัน หากประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด 7 วัน ขึ้นไป ถือว่าประจำเดือน “ขาด”

สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมาช้า…ไม่ใช่แค่การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประจำเดือนขาด แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการมาของประจำเดือนได้เช่นกัน ได้แก่:

  • ความเครียด: ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งควบคุมการทำงานของรังไข่และประจำเดือน
  • การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก: การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก สามารถรบกวนสมดุลฮอร์โมนและทำให้ประจำเดือนผิดปกติได้
  • การออกกำลังกายอย่างหนัก: การออกกำลังกายที่มากเกินไป อาจส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง และทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ความไม่สมดุลของฮอร์โมน: ภาวะต่างๆ เช่น โรคถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) หรือภาวะไทรอยด์ผิดปกติ สามารถส่งผลต่อวงจรประจำเดือนได้
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาคุมกำเนิดบางชนิด ยารักษาโรคทางจิตเวช หรือยาอื่นๆ อาจส่งผลต่อประจำเดือนได้
  • วัยใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause): ในช่วงก่อนหมดประจำเดือน วงจรประจำเดือนจะเริ่มไม่สม่ำเสมอ และอาจมีระยะห่างระหว่างรอบเดือนมากขึ้น

สัญญาณที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์…นอกเหนือจากประจำเดือนขาด

หากประจำเดือนขาด และมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์:

  • คลื่นไส้ อาเจียน (Morning Sickness): อาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงเช้า แต่บางคนอาจมีอาการตลอดทั้งวัน
  • เต้านมคัดตึง เจ็บ: เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • ปัสสาวะบ่อย: มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะกดทับกระเพาะปัสสาวะ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย: ระดับฮอร์โมนที่สูงขึ้นอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย
  • อยากอาหารมากขึ้น หรือเบื่ออาหาร: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจส่งผลต่อความอยากอาหาร
  • อารมณ์แปรปรวน: ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้เกิดอารมณ์ที่หลากหลาย

สิ่งที่ควรทำเมื่อประจำเดือนขาด

หากประจำเดือนขาด และมีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อนหน้านี้ สิ่งแรกที่ควรทำคือ การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยควรอ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้งานอย่างละเอียด หากผลการตรวจเป็นบวก ควรไปพบแพทย์เพื่อยืนยันผล และรับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์

หากผลการตรวจเป็นลบ แต่ประจำเดือนยังไม่มา หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และรับการรักษาที่เหมาะสม

ข้อควรจำ: การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการกับความเครียด จะช่วยให้วงจรประจำเดือนเป็นปกติได้ หากมีความกังวลใจเกี่ยวกับประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม