ยื่นว่างงานได้กี่ครั้งต่อปี

สิทธิการรับเงินทดแทนว่างงาน: ยื่นขอได้กี่ครั้งต่อปี?

การตกงานเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและอาจสร้างความกังวลใจได้มาก หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานคือ “เงินทดแทนว่างงาน” แต่หลายคนยังคงมีความคลุมเครือเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่สามารถยื่นขอรับเงินทดแทนได้ภายในหนึ่งปี บทความนี้จะชี้แจงข้อสงสัยดังกล่าวอย่างละเอียด

กรณีถูกเลิกจ้างหรือเลิกจ้างร่วมกับการลาออก/สิ้นสุดสัญญาจ้าง:

หากคุณถูกนายจ้างเลิกจ้าง หรือกรณีที่การเลิกจ้างเกิดขึ้นร่วมกับการลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง (เช่น การตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง) คุณสามารถยื่นขอรับเงินทดแทนว่างงานได้ มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี อย่างไรก็ตาม สิทธิในการรับเงินทดแทนจะถูกจำกัดด้วยระยะเวลาการจ่าย โดย รวมกันแล้วไม่เกิน 180 วัน นั่นหมายความว่าไม่ว่าคุณจะตกงานและยื่นขอรับเงินทดแทนกี่ครั้งก็ตาม ระยะเวลาการรับเงินทั้งหมดจะไม่เกิน 180 วันในรอบปีเดียว

กรณีลาออกเองหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างโดยไม่ถูกเลิกจ้าง:

กรณีที่คุณลาออกเอง หรือสัญญาจ้างสิ้นสุดลงโดยที่ไม่ได้เกิดจากการถูกเลิกจ้าง สิทธิในการรับเงินทดแทนว่างงานจะแตกต่างออกไป คุณ อาจ จะยังคงมีสิทธิ์ได้รับเงินทดแทน แต่จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เข้มงวดกว่ากรณีถูกเลิกจ้างมาก เช่น อาจต้องมีเหตุผลที่สมควรในการลาออก หรือมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการลาออกนั้นจำเป็นและไม่ใช่การลาออกโดยพลการ และจำนวนครั้งที่สามารถยื่นขอรับเงินทดแทนได้ในกรณีนี้ก็จะมีข้อจำกัดที่เข้มงวดกว่า โดยอาจจำกัดให้ยื่นขอได้เพียงครั้งเดียวต่อปี หรืออาจไม่มีสิทธิ์เลย ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง:

• เงื่อนไขและขั้นตอนการยื่นขอ: เงื่อนไขและขั้นตอนการยื่นขอรับเงินทดแทนว่างงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนการยื่นขอทุกครั้ง
• การเตรียมเอกสาร: การเตรียมเอกสารที่ครบถ้วนและถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้กระบวนการยื่นขอรับเงินทดแทนเป็นไปอย่างราบรื่น
• ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิทธิ์หรือเงื่อนไขต่างๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงานหรือเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ ควรตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ก่อนการตัดสินใจใดๆ และขอแนะนำให้ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อขอรับคำปรึกษาและความช่วยเหลือที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน