อายุความในการเรียกร้องค่าสินไหม กี่ปี

2 การดู

ข้อมูลแนะนำใหม่:

การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิด มีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายทราบถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำ หรือ 10 ปีนับแต่วันที่เกิดการละเมิด ขึ้นอยู่กับว่าระยะเวลาใดจะถึงก่อน โดยพิจารณาตามมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลัก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

อายุความในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน: รู้ทันสิทธิ ไม่เสียเปรียบ

การเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การถูกทำร้าย หรือการถูกละเมิดสิทธิ ย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อนและค่าใช้จ่ายที่ตามมา การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมของผู้เสียหาย เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ผู้เสียหายต้องตระหนักคือ “อายุความ” ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด หากปล่อยให้ล่วงเลยกำหนดเวลาดังกล่าว สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นก็จะสิ้นสุดลง

บทความนี้จึงมุ่งเน้นให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอายุความในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน โดยเน้นในกรณีของการละเมิด ซึ่งเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน

อายุความในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิด: หลักสำคัญที่ต้องทราบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ได้กำหนดอายุความในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิดไว้ดังนี้:

  • อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหาย “ทราบ” ถึงการละเมิดและทราบถึง “ตัวผู้กระทำละเมิด” หมายความว่า ผู้เสียหายต้องรู้ทั้งสองอย่าง คือ รู้ว่ามีการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตน และรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ หากทราบเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อายุความก็ยังไม่เริ่มนับ
  • อายุความ 10 ปี นับแต่วันที่เกิดการละเมิด หากผู้เสียหายไม่ทราบถึงการละเมิดหรือตัวผู้กระทำละเมิดภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เกิดการละเมิด กฎหมายก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ

ข้อสังเกตสำคัญ:

  • หลักการเลือกใช้อายุความ: กฎหมายกำหนดให้พิจารณาจากระยะเวลาใดจะ “ถึงก่อน” กล่าวคือ หากผู้เสียหายทราบถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิดภายใน 9 ปี นับแต่วันที่เกิดการละเมิด ผู้เสียหายจะต้องดำเนินการฟ้องร้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ทราบ แต่หากผู้เสียหายทราบเมื่อพ้น 9 ปีไปแล้ว สิทธิในการเรียกร้องก็จะสิ้นสุดลง
  • ภาระการพิสูจน์: เป็นหน้าที่ของผู้เสียหายที่จะต้องพิสูจน์ว่าตนเองทราบถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิดเมื่อใด ดังนั้น การเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น บันทึกประจำวัน รายงานทางการแพทย์ หรือหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงวันที่ทราบเหตุการณ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • การนับอายุความ: การนับอายุความเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้เสียหายทราบถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำ หรือนับแต่วันที่เกิดการละเมิด ขึ้นอยู่กับกรณี

ตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น:

  • ตัวอย่างที่ 1: นาย ก. ถูกรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่สามารถให้ปากคำได้ จนกระทั่ง 3 ปีต่อมา นาย ก. ฟื้นคืนสติและทราบว่าใครเป็นคนขับรถชน ในกรณีนี้ นาย ก. มีเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ทราบถึงผู้กระทำละเมิด (คือ 3 ปีนับแต่วันที่เกิดเหตุ) ในการฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน
  • ตัวอย่างที่ 2: นาง ข. ถูกโกงเงินจากการลงทุน แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ จนกระทั่ง 8 ปีต่อมา นาง ข. ทราบตัวผู้กระทำผิด ในกรณีนี้ นาง ข. มีเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ทราบตัวผู้กระทำผิด ในการฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน
  • ตัวอย่างที่ 3: นาย ค. ถูกใส่ร้ายป้ายสีบนโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้โพสต์ จนกระทั่ง 12 ปีต่อมา นาย ค. ทราบตัวผู้กระทำผิด ในกรณีนี้ สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของนาย ค. ได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่เกิดการละเมิด

ข้อควรระวัง:

  • อายุความอาจแตกต่างกันไปในกรณีอื่นๆ เช่น การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากสัญญาประกันภัย หรือการเรียกร้องจากความรับผิดทางอาญา ดังนั้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อความถูกต้องแม่นยำ

สรุป:

การทราบถึงอายุความในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสิทธิของตนเอง หากท่านได้รับความเสียหายจากการละเมิด ควรรีบดำเนินการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายโดยเร็ว เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และดำเนินการฟ้องร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เสียสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนเอง

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านในการทำความเข้าใจเรื่องอายุความในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิด และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง