น้ําตาล 115 สูงไหม

2 การดู

หากตรวจพบระดับน้ำตาล 115 mg/dL หลังงดอาหาร 8-10 ชั่วโมง ถือว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ (Impaired Fasting Glucose) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

น้ำตาล 115: สูงจริงหรือแค่ “สัญญาณเตือน”? ไขข้อข้องใจเรื่องระดับน้ำตาลในเลือด

หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด และความสำคัญของการควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่เมื่อผลตรวจออกมาเป็น “115” หลายคนก็เริ่มกังวลและเกิดคำถามว่า “น้ำตาล 115 นี่สูงไหม?” บทความนี้จะช่วยคลายข้อสงสัยนี้ พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกที่มากกว่าแค่ตัวเลข เพื่อให้คุณเข้าใจและดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง

น้ำตาล 115: จุดกึ่งกลางระหว่างปกติและเบาหวาน

หากผลตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร (Fasting Plasma Glucose – FPG) เป็น 115 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ถือว่า “สูงกว่าปกติ” หรืออยู่ในภาวะ “Impaired Fasting Glucose (IFG)” ซึ่งหมายความว่าระดับน้ำตาลของคุณสูงกว่าเกณฑ์ปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

โดยทั่วไป เกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะน้ำตาลในเลือดผิดปกติ และโรคเบาหวาน มีดังนี้:

  • ปกติ: น้อยกว่า 100 mg/dL
  • Impaired Fasting Glucose (IFG): 100-125 mg/dL
  • เบาหวาน: 126 mg/dL ขึ้นไป

ดังนั้น น้ำตาล 115 mg/dL จึงอยู่ในช่วง IFG ซึ่งถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่สำคัญว่าคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานในอนาคต

ทำไมต้องกังวลกับน้ำตาล 115?

แม้ว่าระดับน้ำตาล 115 mg/dL จะยังไม่ถือว่าเป็นเบาหวาน แต่ภาวะ IFG นั้นมีความสำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะ:

  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน: คนที่มีภาวะ IFG มีโอกาสสูงกว่าคนทั่วไปในการพัฒนาไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด: ภาวะ IFG เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • อาจไม่มีอาการแสดง: หลายคนที่มีภาวะ IFG อาจไม่มีอาการแสดงใดๆ ทำให้ละเลยการดูแลตัวเอง

เมื่อรู้ว่าน้ำตาล 115 ต้องทำอย่างไร?

การที่รู้ว่าระดับน้ำตาลของคุณอยู่ที่ 115 mg/dL คือโอกาสที่ดีในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวาน สิ่งที่คุณควรทำคือ:

  1. ปรึกษาแพทย์: การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคลของคุณอย่างละเอียด พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประวัติครอบครัว น้ำหนักตัว ความดันโลหิต และไลฟ์สไตล์ เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสม
  2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน:
    • ควบคุมอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง แป้งขัดสี และไขมันอิ่มตัว เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีน
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ) อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
    • ควบคุมน้ำหนัก: หากมีน้ำหนักเกิน ควรพยายามลดน้ำหนักให้ได้ 5-10% ของน้ำหนักตัวเดิม
    • จัดการความเครียด: ความเครียดสามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด หาทางจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ
  3. ติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อติดตามผลการรักษา และปรับเปลี่ยนแผนการดูแลหากจำเป็น

สรุป:

น้ำตาล 115 mg/dL ถือว่าสูงกว่าปกติ และเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน การปรึกษาแพทย์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวาน อย่ามองข้าม “สัญญาณเตือน” นี้ และเริ่มดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ

ข้อควรจำ:

  • ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์
  • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการวินิจฉัยที่เหมาะสมกับคุณ
  • การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องระยะยาว ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความตั้งใจ